วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 8.เส้นทางสู่อำนาจของโจโฉ

ถ้าแผ่นดินเป็นปกติและการทหารเข้มแข็ง การส่งกองทัพจากเมืองหลวงไปปราบโจรก็เห็นได้ชัดว่ากองทัพจากเมืองหลวงจะได้รับชัยชนะเป็นแน่แท้ แต่เนื่องจากแผ่นดินของเลนเต้อ่อนแอในทุกด้าน รวมทั้งด้านการทหาร ดังนั้นแม้จะส่งกองทัพจากเมืองหลวงออกไปปราบโจรถึงสามด้าน ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ

นอกจากไม่ไว้วางใจในกองทัพของตนแล้ว อาจจะเกิดจากความขี้ขลาดตาขาวกลัวแพ้โจรก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องมีท้องตราไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ให้ช่วยกันปราบโจรทางหนึ่ง และยังส่งกองทัพเสริมเพิ่มเติมตามไปอีก กองทัพที่ส่งเสริมตามไปนี้ พระเจ้าเลนเต้โปรดให้โจโฉเป็นแม่ทัพ นำกำลังห้าพันยกไปช่วยกองทัพที่ยกไปก่อนหน้าแล้ว โดยให้เดินทัพตรงไปยังเมืองเองฉวน ซึ่งขณะนั้นถูกกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองที่นำโดยเตียวโป้และเตียวเหลียงล้อมอยู่ 

“โจโฉ” นั้น “สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว”สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หนได้พรรณนาประวัติของโจโฉไว้ว่า เป็นบุตรโจโก๋ เมื่อน้อยมักพอใจไปเล่นป่ายิงเนื้อ มักพอใจฟังร้องรำทำเพลง มีปัญญาความคิดรวดเร็ว” เป็นคนชอบคบหาเพื่อนฝูงมาตั้งแต่น้อย เพื่อนเล่นทั้งปวงยกย่องโจโฉเป็นหัวหน้า จะทำการสิ่งใดก็ประพฤติตนเป็นหัวหน้าคนมาตั้งแต่ยังเด็ก 



โจโฉเป็นคนเจ้าอุบายมาแต่อ้อนแต่ออก และเพราะเหตุที่ซุกซนจึงไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของอาที่ชื่อ “โจเต๊ก” คอยหาเหตุกลั่นแกล้งอยู่เสมอ โจโฉเห็นอากลั่นแกล้งก็คิดแก้แค้น โดยไม่คำนึงว่า โจเต๊กนั้นเป็นญาติผู้ใหญ่ มีฐานะเป็นอาของตน คิดแต่จะเอาชนะอาให้จงได้  
          
วันหนึ่งโจโฉจึงแกล้งล้มลงร้องไห้ทุรนทุราย โจเต๊กนำความไปบอกโจโก๋ผู้พี่ว่าโจโฉมีอันเป็นไปแล้ว โจโก๋ตกใจวิ่งมาดูปรากฏว่าโจโฉยังคงเล่นหัวกับเพื่อนเป็นปกติ จึงถามความเอากับโจโฉ ดังนั้นจึงเป็นทีของโจโฉได้แก้แค้นอาโดยบอกกับโจโก๋ผู้เป็นพ่อว่าอาชังข้ามาแต่น้อย คิดแต่จะสาปแช่งให้มีอันเป็น ข้ายังเล่นหัวกับเพื่อนเป็นปกติ ไม่เคยเกิดเรื่องราวใด ๆ อากลั่นแกล้งเอาความมาใส่ หลังจากวันนั้นแล้วโจโก๋ก็เชื่อคำโจโฉ แม้อาจะนำความใดมากล่าว โจโก๋ก็ไม่ได้เชื่อฟังอีกต่อไป โจโฉก็ยิ่งฮึกเหิมในสติปัญญาของตน 

เพื่อน ๆ ก็สรรเสริญความคิดของโจโฉเป็นอันมาก ยกยอว่าแผ่นดินเป็นจลาจล ไม่มีผู้ใดมีสติปัญญาจะแก้ไขให้เป็นปกติได้ เห็นแต่โจโฉเท่านั้นที่มีสติปัญญาปราบปรามให้การแผ่นดินเป็นสุข โจโฉได้ฟังแล้วก็มีความลำพองในความคิดและสติปัญญาตนเป็นอันมาก

ในเมือง “ลำหยง” ซึ่งเป็นบ้านเดิมของโจโฉ มีหมอดูมีชื่อเสียงอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อ “โหเง้า” นิยมชมชอบโจโฉมาตั้งแต่เด็ก ดูบุคลิกลักษณะโจโฉแล้วเชื่อว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หมอดูคนนี้เป็นคนพูดมาก ดังนั้นไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใดก็ชอบพูดว่า “แผ่นดินเมืองหลวงนั้นจะสูญเสียแล้ว ซึ่งจะปราบแผ่นดินให้ราบนั้นเห็นแต่โจโฉผู้เดียว

การที่หมอดูไปเที่ยวพูดทั่วไปว่าโจโฉจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เท่ากับว่าโจโฉมีฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น คอยสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเองว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำให้มีผู้คนมาเป็นสมัครพรรคพวกมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องจ้างขานวานซื้อเหมือนที่ทำกันอยู่ในบ้านเมือง

ขณะนี้หมอดูที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งมีชื่อว่า “เขาเฉียว” มีกิตติศัพท์เล่าขานว่าสามารถดูโหงวเฮ้ง พยากรณ์แม่นยำดุจเทพยดา โจโฉอยากรู้อนาคตของตนจึงไปถามหมอดูคนนี้ว่าภายหน้าโชควาสนาตนจะเป็นประการใด หมอดูก็นิ่งเฉยเสีย โจโฉถามซ้ำเข้าไปอีก หมอดูคนนี้จึงกล่าวว่า “ท่านมีปัญญามาก จะป้องกันแผ่นดินได้อยู่ แต่มิได้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะเป็นศัตรูราชสมบัติ 

คำทำนายแบบนี้หากเกิดขึ้นกับคนทั่วไป หมอดูคงจะถูกเตะเป็นแน่นอน เพราะการเป็นศัตรูราชสมบัติเป็นความผิดฐานกบฎ ต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร เป็นข้อหาอันเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของสังคมโดยทั่วไป ยากที่จะมีผู้ใดยอมรับได้ แต่โจโฉฟังคำทำนายแล้วกลับหัวเราะชอบ

ใจโจโฉเป็นคนใฝ่อำนาจและใฝ่สูงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อประกอบเข้ากับความเฉลียวฉลาด เล็งการไกลแล้ว ดังนั้นเมื่ออายุได้ 20 ปี โจโฉจึงไปสมัครเข้ารับราชการเป็นทหารในเมือง “ลกเอี๋ยง” ซึ่งเป็นเมืองหลวง ในตำแหน่งหน้าที่ทหารลาดตระเวน มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของวังหลวง 

การสมัครรับราชการทหารในเมืองหลวงของโจโฉ  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำทำนายของหมอดูทั้งสองคน และคำยกย่องของเพื่อนฝูงในวัยเด็กมีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดอ่านของโจโฉ และทำให้โจโฉเชื่อว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นนั้น จึงดำเนินวิถีชีวิตของตนให้สอดคล้องกับคำพยากรณ์และคำยกย่องดังกล่าว 

โจโฉเป็นคนเด็ดขาดมาตั้งแต่เยาว์วัย จะพูดจะจาก็ฉะฉานชัดเจนเด็ดขาด ใครจะพูดจะจาด้วยก็เป็นที่พอใจ และเกิดความเชื่อถือวางใจ เหตุนี้โจโฉจึงเป็นที่รัก ที่เกรงใจของคนอื่น เมื่อมาเป็นทหารลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยของวังหลวงก็เคร่งครัดต่อระเบียบวินัย ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด

เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ โจโฉได้ปักรั้วกำหนดเขตห้ามมิให้คนเดินล้ำเข้าไปใกล้กำแพงพระราชวัง ต่อมาคืนวันหนึ่งขันทีเดินมาผิดเวลา และล่วงล้ำเข้าไปในเขตห้ามล่วงล้ำที่โจโฉกำหนดไว้ โจโฉก็จับเอามาลงโทษให้ทหารโบย ความทราบถึงพระเจ้าเลนเต้ก็พอพระราชหฤทัย เลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน

ครั้นโจรโพกผ้าเหลืองกรีฑาทัพเข้าประชิดหัวเมืองต่าง ๆ และมีพระบรมราชโองการจัดทัพจากเมืองหลวงออกเป็นสามด้าน ยกเข้าตีกองทัพโจรแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย พระเจ้าเลนเต้กริ่งว่าจะเสียที จึงโปรดให้โจโฉเป็นนายทัพ คุมทหารห้าพันยกไปช่วยแม่ทัพรองคือ “ฮองฮูสง”และ “จูฮี” ที่เมือง “เองฉวน” ซึ่งขณะนั้นกองทัพของขบวนการกู้ชาติ  ส่วนที่นำโดยแม่ทัพรองคือ “เตียวโป้” และ “เตียวเหลียง” กำลังล้อมเมือง “เองฉวน” อยู่ และสถานการณ์ของกองทัพเมืองหลวงก็อยู่ในสถานะตั้งรับหรือตั้งยันเท่านั้น            

โจโฉเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย แค่เพียงหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน แต่กลับได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมกองกำลังทหารหลวงถึงห้าพัน ทั้ง ๆ ที่ราชสำนักยังมีแม่ทัพนายกองอื่นอีกมากมายเช่นนี้ แม้สามก๊กทุกฉบับจะมิได้ให้เหตุผลว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หากไม่ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับระบบส่วยสินบนของสิบขันก็เป็นได้


ขอขอบคุณ 

บางช่วงบางตอนจาก สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12    

3 ความคิดเห็น:

  1. โจโฉเริ่มต้นชีวิตได้สวยงามและพระเอกมาก แต่อยู่ไปอยู่มากลายเป็นตัวร้ายเสียเอง เรื่องสามก๊กถ้าขาดโจโฉไปสักคนคงไม่มีทางได้เป็นวรรณกรรมอมตะ
    ... มาลงชื่อติดตามผลงานต่อ ๆ ไปครับ

    ตอบลบ
  2. https://www.111player.com ศูนย์รวมที่สมบูรณ์แบบ เกี่ยวกับเกมส์ คาสิโนออนไลน์ Casino Online บาคาร่า สล็อต และ แทงบอลออนไลน์ ท่านสามารถเลือกสนุกกับ Gclub, Genting Princess.

    ตอบลบ