วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 11.ผลักไสไร้ค่า

เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยคุมทหารห้าร้อยนายตรงไปเมืองจงก๋ง แล้วชวนกันเข้าพบแม่ทัพโลติดซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายเมืองหลวง รายงานการศึกที่ผ่านมาให้แม่ทัพโลติดรับทราบ แม่ทัพโลติดได้พบหน้าเล่าปี่เพื่อนร่วมสำนัก และรับทราบความศึกแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก จึงชวนให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยว่ามา “อยู่ทำราชการด้วยเราเถิด”


เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยรับคำเชิญของแม่ทัพโลติดแล้วเริ่มชีวิตข้าราชการทหารตั้งแต่บัดนั้น แต่ทั้งนี้ความเป็นข้าราชการดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นทหารหลวงเพราะฮ่องเต้ไม่ได้รับรู้ด้วย ดังนั้นจึงมีฐานะเป็นเพียงทหารในสังกัดของแม่ทัพโลติดเท่านั้น

แม่ทัพโลติดเห็นว่ากำลังพลที่มีอยู่สามารถยันทัพของเตียวก๊กได้ แต่ให้รู้สึกห่วงใยกองทัพของฮองฮูสงและจูฮี ซึ่งเป็นน้ำใจที่ดีงามของคนระดับแม่ทัพผู้นี้ที่ไม่คิดแต่จะเอาตัวรอด หรือคิดสร้างผลงานเฉพาะตน แม้หน้าศึกที่เผชิญอยู่กับความเป็นตายยังสู้มีใจห่วงหาอาทรผู้ใต้บังคับบัญชาและการใหญ่ของบ้านเมือง จึงจัดทหารพันหนึ่งให้เล่าปี่รีบยกไปช่วยฮองฮูสงและจูฮีที่ยันทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงอยู่ที่เมืองเองฉวนโดยให้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน

ฝ่ายทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงซึ่งตั้งยันอยู่กับทัพของฮองฮูสงและจูฮีนั้น ปะทะกันหลายครั้งยังไม่แพ้ชนะกัน ดังนั้นเตียวโป้และเตียวเหลียงจึงวางแผนเผด็จศึกด้วยวิธีการผูกพยนต์ ใช้วิทยาคมที่เตียวก๊กได้ร่ำเรียนมาจากตำราของเทพยดา เตรียมปลุกเสกหุ่นฟางให้เป็นทหารเพื่อรบกับฮองฮูสงและจูฮี

แต่ในขณะที่เตียวโป้ เตียวเหลียงเตรียมฟางไว้เป็นจำนวนมากเพื่อผูกเป็นหุ่นนั้น ข่าวทราบถึงฮองฮูสงและจูฮี ที่ถึงแม้จะไม่รู้ความนัยว่ากองทัพโจรโพกผ้าเหลืองเตรียมฟางไว้จำนวนมากเพื่อการใด แต่เห็นช่องทางที่จะทำลายกองทัพโจรเสียด้วย "เพลิง"

ในคืนนั้นเพลาสองยามเกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก ฮองฮูสงและจูฮีจึงให้ทหารเข้าปล้นค่ายเตียวโป้ เตียวเหลียงพร้อมกัน ใช้เพลิงเผาค่ายโจรโพกผ้าเหลืองจนแสงเพลิงโชติช่วงสว่างดุจกลางวัน ทหารเตียวโป้ เตียวเหลียงไม่ทันรู้ตัวว่าถูกโจมตีก็ตกใจไม่ทันใส่เกราะผูกอานม้าก็แตกกระจายหนีเพลิงกันวุ่นวาย ทหารของฮองฮูสงและจูฮีจึงได้ไล่ฟันแทงพวกโจรล้มตายเป็นอันมาก

เตียวโป้ เตียวเหลียงนำทหารที่แตกทัพรุดหนีไปทั้งคืน จนรุ่งเช้าก็ปะทะเข้ากับกองทหารซึ่งใช้ธงแดงเป็นสัญลักษณ์ทั้งกองทัพ นั่นคือกองทัพของโจโฉซึ่งเป็นกองทัพเสริมมาจากเมืองหลวง และเคลื่อนมาทางเมืองเองฉวนเพื่อสมทบกับทัพของฮองฮูสงและจูฮี

โจโฉเห็นโจรโพกผ้าเหลืองแตกทัพมาก็สั่งทหารให้เข้าตีสกัดไว้ สังหารทหารเตียวโป้ เตียวเหลียงเสียหมื่นเศษได้ม้าและศาตราวุธเป็นจำนวนมาก แต่เตียวโป้  เตียวเหลียงนั้นนำทหารที่เหลือหนีไปได้

โจโฉนำชัยชนะจากการตีทัพเตียวโป้เตียวเหลียงซึ่งแตกทัพไปจากเมืองเองฉวนเข้ารายงานให้ฮองฮูสงและจูฮีทราบ แล้วขอนำทหารยกตามไปตีเตียวโป้  เตียวเหลียงต่อไป

ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งรับคำสั่งแม่ทัพโลติดให้ยกทหารมาเมืองเองฉวน  ช่วยฮองฮูสงและจูฮีนั้น เมื่อเคลื่อนทัพมาใกล้ถึงเมืองเองฉวนเห็นแสงเพลิงที่ฮองฮูสงและจูฮีเผาค่ายของเตียวโป้ เตียวเหลียงจึงเร่งทหารรีบไปช่วย พอดีทัพเตียวโป้ เตียวเหลียงแตกพ่ายไปแล้ว เล่าปี่จึงเข้าไปรายงานต่อฮองฮูสงและจูฮีว่าแม่ทัพโลติดให้ยกทหารมาช่วย

ฮองฮูสงและจูฮีทราบความก็ขอบใจโลติดและเล่าปี่ แล้วว่าเตียวโป้ เตียวเหลียงแตกไปครั้งนี้การศึกเห็นจะเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว เพราะคาดหมายว่าเมื่อแตกหนีไปแล้วเตียวโป้ เตียวเหลียงจะยกทหารไปสมทบกับเตียวก๊กที่เมืองจงก๋ง จึงให้เล่าปี่ยกทหารรีบตามไปสกัดไม่ให้เตียวโป้ เตียวเหลียงไปบรรจบทัพกับเตียวก๊กได้สำเร็จ ฝ่ายเมืองหลวงก็จะได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด

การใช้ให้เล่าปี่ไปสกัดเตียวโป้ เตียวเหลียงในครั้งนี้ด้านหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นยุทธวิธีที่สำคัญไม่ให้ฝ่ายกู้ชาติบรรจบทัพกันได้ ให้คงสภาพเป็นสองส่วนแล้วค่อยตีให้แตกทีละส่วนตามหลักยุทธวิธี “กินข้าวทีละคำ ตีให้แตกทีละส่วน”เพื่อหวังผลเผด็จศึกก็จริงอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็มองเห็นได้ถึงความอาภัพวาสนาของเล่าปี่ เพราะพึ่งเดินทัพมาจากเมืองจงก๋งอยู่หยกๆ ก็ต้องรับคำสั่งให้เดินทัพกลับในทิศทางเดิมเพื่อสกัดเตียวโป้ เตียวเหลียงอีก

การที่เจ้าเมืองและแม่ทัพต่างๆใช้ให้เล่าปี่ไปรบศึกไม่หยุดหย่อน ให้ไปช่วยคนโน้นให้ไปช่วยคนนี้ดูไปแล้วคล้ายๆจะเป็นการผลักไสอยู่ในที

เหตุทั้งนี้ย่อมมีประวัติศาสตร์ของมันอยู่ เพราะเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจในสายของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ หลานของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ผู้หนึ่งได้รับพระราชทานศักดิ์เป็น “อ๋อง” เทียบชั้นเจ้าพระยาครองเมืองต๊กกุ๋น แต่ขาดส่งส่วยประจำปีให้แก่ราชสำนัก จึงถูกถอดออกจากศักดิ์และตำแหน่งลงเป็นคนสามัญ

ตราบาปนี้จึงตกทอดมาถึงปู่ พ่อและถึงตัวเล่าปี่ด้วย ทำให้ขุนนางและข้าราชการไม่กล้าข้องแวะคบหาสมาคมเพราะกลัวว่าจะเป็นที่หวาดระแวงของราชสำนัก ดังนั้นเจ้าเมืองและแม่ทัพต่าง ๆ จึงหาเหตุผลักไสไล่ส่งเล่าปี่โดยทำทีใช้ให้ไปราชการไม่หยุดหย่อน

ขอขอบคุณ 

บางช่วงบางตอนจาก สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12    





วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 10.เริ่มสงคราม

ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อจัดกองทัพห้าสิบหมื่นพร้อมแล้วก็ประกาศสงครามกู้ชาติ เพื่อปลดปล่อยประชาชนให้หลุดพ้นจากการกดขี่ข่มเหงรังแก และปล้นชิงวิ่งราวของขุนนางและข้าราชการ ให้เคลื่อนทัพเข้าโจมตีและยึดหัวเมืองทั้งแปด ซึ่งราษฎรนับถืออยู่แต่ก่อนแล้ว

จากนั้นจึงเคลื่อนพลเข้าโจมตีหัวเมืองอื่นๆอีกหลายหัวเมือง ตัวเตียวก๊กเองนั้นคุมพลสิบห้าหมื่นเข้าโจมตีแล้วยึดเมืองจงก๋ง ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญในการบุกเข้ายึดเมืองหลวงต่อไป

 
ส่วนเตียวโป้และเตียวเหลียงยกไปตีเมืองเองฉวน ภายในเมืองได้ตั้งรับอย่างแข็งขัน เตียวโป้และเตียวเหลียงยึดเมืองไม่ได้ก็ตั้งค่ายรายล้อมเมืองไว้

การเคลื่อนทัพเข้าตีและยึดเมืองต่างๆของขบวนการกู้ชาติที่บัญชาการโดยเตียวก๊กครั้งนี้ เป็นไปโดยรวดเร็ว เนื่องจากหัวเมืองทั้งแปดมีราษฎรนิยมนับถือเตียวก๊กอยู่ก่อนแล้วถึงขนาดเขียนชื่อเตียวก๊กบูชาทุกบ้านเรือน ทั้งมีความเคียดแค้นชิงชังข้าราชการและขุนนาง ที่เอาแต่กดขี่ข่มเหงรังแกรีดนาทาเร้นราษฎร ดังนั้นชาวเมืองจึงพากันเข้าร่วมกับฝ่ายกู้ชาติ ซึ่งสามก๊กทุกฉบับระบุความตรงกันว่า ไม่มีราษฎรหลบหนีออกจากเมืองหรือก่อความวุ่นวายขึ้นแต่ประการใด

ฝ่ายกองทัพจากเมืองหลวงที่บัญชาการโดยแม่ทัพโลติดมีฮองฮูสงและจูฮีเป็นแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุน พอทราบข่าวการสนับสนุนกำลังเพิ่มเติมจึงได้เคลื่อนกองทัพยกไปเป็นสามด้านพร้อมกัน มุ่งเข้าตีจุดยุทธศาสตร์คือเมืองจงก๋งและเมืองเองฉวนเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบให้ได้เสียก่อน

ตัวโลติดคุมพลห้าหมื่นยกไปล้อมเมืองจงก๋งซึ่งเตียวก๊กได้ยึดไว้ ส่วนฮองฮูสงและจูฮีให้ยกไปเมืองเองฉวน และให้ตั้งค่ายไว้นอกเมืองยันทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงไว้

ฝ่ายเทียอ้วนจี้ทหารเอกของฝ่ายกู้ชาติอีกคนหนึ่ง ได้นำทัพห้าหมื่นคนยกเข้าตีเมืองตุ้นก้วน เมื่อทัพเทียอ้วนจี้เคลื่อนไปถึงชายแดนเมืองตุ้นก้วน ความศึกทราบถึงเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองอิวจิ๋ว จึงสั่งให้เจาเจ้งนำกำลังพลห้าร้อยนายพร้อมเล่าปี่,กวนอู,เตียวหุยไปปราบโจร

กองทหารของเจาเจ้ง,เล่าปี่,กวนอู,เตียวหุย แม้มีกำลังพลน้อยกว่าทัพของเทียอ้วนจี้หลายเท่านัก แต่ด้วยฝีมือการรบของกวนอู,เตียวหุยเหนือชั้นกว่ามาก ดังนั้นเมื่อเกิดปะทะกันขึ้นเทียอ้วนจี้ จึงถูกกวนอูใช้ง้าวฟันขาดเป็นสองท่อน ส่วนทหารเอกของเทียอ้วนจี้ชื่อเตงเมา ก็ถูกเตียวหุยใช้ทวนแทงถูกอกตกม้าตาย





กองทัพฝ่ายกู้ชาติของเทียอ้วนจี้จึงแตกกระจายไปสิ้น เล่าปี่เห็นได้ทีจึงขับทหารไล่จับพวกโจรและเก็บอาวุธได้เป็นจำนวนมาก แล้วยกทหารกลับเมืองตุ้นก้วน

ชัยชนะของเล่าปี่ครั้งนี้เป็นชัยชนะครั้งแรกของกองทัพฝ่ายเมืองหลวง เล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองรู้ข่าวก็มีความยินดีออกไปรับเล่าปี่ถึงประตูเมือง กลับเข้าเมืองแล้วก็ปูนบำเหน็จทหารตามสมควร

เล่าปี่และทหารได้พักเพียงชั่วคืนเดียว รุ่งขึ้นเจ้าเมืองเฉงจิ๋วส่งม้าใช้ถือหนังสือมาถึงเจ้าเมืองตุ้นก้วนว่า โจรโพกผ้าเหลืองยกมาล้อมเมืองจึงขอทหารไปช่วย

เล่าเอี๋ยนจึงส่งเจ้าเจ้งให้คุมทหารห้าพันยกไปเมืองเฉงจิ๋ว พร้อมกับเล่าปี่,กวนอู,เตียวหุย นับเป็นการออกรบครั้งที่สองของเล่าปี่ในศึกโจรโพกผ้าเหลือง

ความจริงเจาเจ้งนั้นไม่ได้มีบทบาทสำคัญในการศึกแต่เล่าเอี๋ยนกลับมอบหมายให้คุมทหารไปออกศึกถึงสองครั้งแทนที่จะมอบหมายให้เล่าปี่คุมทหารไปเอง ก็เพราะว่า ขณะนั้นเล่าปี่ยังไม่ได้เป็นข้าราชการของทางการ  เป็นแต่ไปเข้ากับเล่าเอี๋ยนและเล่าเอี๋ยนรับไว้โดยส่วนตัวเท่านั้น   ดังนั้นในราชการสงครามจึงต้องให้เจาเจ้งเป็นผู้คุมทหารโดยตำแหน่งหน้าที่

ศึกครั้งนี้กำลังพลที่เดินทัพไปกับเล่าปี่มีมากกว่าศึกครั้งก่อนถึงสิบเท่าคือมีจำนวนถึงห้าพันนับเป็นการบัญชาการทหารครั้งแรกของเล่าปี่ที่มีกำลังพลมากขนาดนี้

เมื่อทัพของเล่าปี่เคลื่อนไปใกล้เมืองเฉงจิ๋ว ก็ถูกกองทัพของฝ่ายกู้ชาติเข้าโจมตี เล่าปี่กำลังน้อยกว่าก็ถอยมาตั้งหลัก

เล่าปี่เห็นว่ากำลังรบน้อยกว่ากันมาก จึงกำหนดกลศึกเพื่อเอาชนะ โดยให้กวนอูคุมทหารพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ในเหลื่อมเขาซ้ายทาง ให้เตียวหุยคุมทหารพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ในดงไม้ข้างขวาทาง กำหนดว่าถ้าได้ยินเสียงม้าล่อเมื่อใดให้กวนอู เตียวหุย ยกทหารตีกระหนาบเข้ามา กวนอู เตียวหุย ก็ยกทหารไปซุ่มอยู่ตามคำสั่ง

รุ่งขึ้นเล่าปี่กับเจาเจ้งก็ยกทหารผ่านไปทางที่กวนอู เตียวหุย ซุ่มอยู่นั้น รุดหน้าไปรบกับโจรโพกผ้าเหลือง เมื่อปะทะกันแล้วเล่าปี่ เจาเจ้งก็แกล้งถอยมาทางที่กวนอูเตียวหุยซุ่มอยู่นั้น

ฝ่ายโจรโพกผ้าเหลืองได้ทีก็ไล่ตามตี มาถึงจุดซุ่มเล่าปี่ก็ให้ทหารตีม้าล่อขึ้นแล้วแปรขบวนทหารจากถอยเป็นหันกลับเข้าตี ในขณะที่กวนอูเตียวหุยได้ยินสัญญาณแล้วก็ยกทหารตีขนาบเข้ามา

โจรโพกผ้าเหลืองถูกตีขนาบเข้ามาทั้งสามด้านก็ตกใจแตกตื่นเสียทีเพราะไม่รู้กำลังศึก ทัพโจรโพกผ้าเหลืองจึงแตกพ่ายหนีเข้าไปใกล้กำแพงเมืองเฉงจิ๋ว เจ้าเมืองเฉงจิ๋วเห็นเป็นที่ก็ยกทหารตีกระทบเข้ามาเป็นสี่ด้าน ทหารโจรโพกผ้าเหลืองจึงระส่ำระสาย ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก และแตกหนีไปจนหมดสิ้น 

เจ้าเมืองเฉงจิ๋วทราบข่าวชัยจึงปูนบำเหน็จแก่เล่าปี่และทหารตามสมควร แต่หาได้ชักชวนให้เล่าปี่รับราชการหรืออยู่ช่วยเหลือต่อไปไม่ ดูไปแล้วเล่าปี่ช่างอาภัพนักเพราะแม้จะมีฝีมือและผลงานปรากฏแต่กลับไม่มีใครเห็นคุณค่า

เสร็จศึกแล้วเจาเจ้งจึงแจ้งแก่เล่าปี่ว่าจะยกทหารกลับเมืองตุ้นก้วน เล่าปี่ก็เคว้งเพราะจะกลายเป็นคนตกงานอีกครั้งหนึ่ง แต่โชคยังดีที่เล่าปี่ได้ข่าวว่าแม่ทัพโลติดเพื่อนร่วมสำนักได้เป็นใหญ่ในราชการ ดำรงตำแหน่งที่แม่ทัพปราบขบวนการกู้ชาติและล้อมข้าศึกไว้ที่เมืองจงก๋ง เล่าปี่จึงขอทหารเจาเจ้งเพื่อไปช่วยแม่ทัพโลติด เจาเจ้งตัดใจให้ทหารเล่าปี่ไปห้าร้อยคนแล้วยกกำลังที่เหลือกลับเมืองตุ้นก้วน


ขอขอบคุณ 

บางช่วงบางตอนจาก สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12    

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 9.ซุนเกี๋ยนเข้าร่วมศึก

ฝ่ายเมือง “ตองฮ่อ” ซึ่งเป็นเมืองในขอบขัณฑสีมาของราชวงศ์ฮั่น อยู่ทางใต้ของเมืองหลวง ใกล้กับแม่น้ำแยงซี ครั้นได้รับหมายตราจากเมืองหลวงให้ยกกำลังไปปราบโจรแล้ว ได้มอบหมายให้เจ้าเมืองเจียนต๋อง ซึ่งขึ้นกับเมืองตองฮ่อจัดกำลังทหารไปทำการตามหมายรับสั่ง 

เจ้าเมืองเจียนต๋องจึงสั่งให้ “ซุนเกี๋ยน” จัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครไปร่วมสมทบกับกองทัพจากเมืองหลวงปราบโจรโพกผ้าเหลือง

อัน “ซุนเกี๋ยน” นั้น “กิริยาเหมือนเสือ หน้าผากใหญ่ หน้ายาว” เป็นคนแข็งแรงกล้าหาญ เมื่ออายุ 17 ปีไปเมืองเจียนต๋องกับบิดาพบโจรปล้นราษฎรเอาของมาแบ่งปันกัน“ซุนเกี๋ยน” ใช้ความกล้าหาญบุกเข้าไปไล่โจรโดยลำพัง ฆ่าโจรได้คนหนึ่ง อีก 9 คนหนีไปได้ กิตติศัพท์รู้ถึงเจ้าเมืองจึงให้เอาตัวเข้าไปรับราชการเป็นทหาร


ต่อมาเกิดกบฎขึ้นในเมืองเจียนต๋อง ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากความจลาจลในแผ่นดิน “หือฉง” ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า “ซุนเกี๋ยน” ได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองให้เข้าร่วม และไปรบกับฝ่ายกบฎ ปราบกบฎได้สำเร็จ ผู้รักษาเมืองจึงมีหนังสือกราบบังคมทูลฯ รายงานความชอบของ “ซุนเกี๋ยน” ต่อพระเจ้าเลนเต้ แต่เรื่องเงียบหายไป ซึ่งอาจเกิดจากขันทีกักเก็บเรื่องไว้ เพราะช่วงนั้นมีความเป็นไปได้ว่า “ซุนเกี๋ยน” ยังไม่เข้าใจในระบบส่วยสินบนของสิบขันทีจึงไม่ได้ไปติดต่อขอเป็นพวก หรือมิฉะนั้นคุณธรรมในใจตนยังเข้มแข็ง จึงไม่ยอมตนเข้าสู่ระบบส่วยสินบนของขันทีก็เป็นได้  

เมื่อได้รับคำสั่งจากเจ้าเมืองเจียนต๋องแล้ว “ซุนเกี๋ยน” จึงจัดระดมพลอาสาสมัครจากชาวเมืองเจียนต๋อง และจากทหารของ “เมืองอ้วนเซีย” ที่แตกทัพ ได้คนประมาณ 1,500 จึงยกไปปราบโจร

เป็นอันว่า “เล่าปี่”, “โจโฉ” และ “ซุนเกี๋ยน” ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่สมรภูมิปราบโจรโพกผ้าเหลืองจากทิศทางที่ต่างกัน แต่เคลื่อนพลเข้าสู่สมรภูมิด้วยเป้าหมายอย่างเดียวกันคือปราบโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งด้านหนึ่งก็คือการปราบปรามขบวนการกู้ชาติของประชาชนนั่นเอง

ทำให้น่าคิดว่าวีรชนทั้งสามนี้หากเกิดมีความคิดที่พ้องกันว่า  กองทัพของ   “เตียวก๊ก” เป็นกองกำลังติดอาวุธของประชาชน ที่มีเจตนารมย์เพื่อการกอบกู้ฟื้นฟูบ้านเมืองจากการก่อกรรมทำเข็ญของสิบขันที และเข้าร่วมกับขบวนการกู้ชาติ แล้วเคลื่อนทัพเข้ายึดเมืองหลวง จับกุมสิบขันทีประหารเสีย แล้วปรับปรุงอำนาจรัฐเสียใหม่ให้คนดีมีฝีมือได้มีโอกาสบริหารบ้านเมืองดังนี้แล้ว โฉมหน้าของสามก๊กก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง แผ่นดินก็จะสงบสุข ราชวงศ์ฮั่นก็จะสถิตสถาพรต่อไป


แต่ภายใต้ระบบราชการและความศักดิ์สิทธิ์ของพระบรมราชโองการอันเป็นรูปแบบ แต่มีเนื้อหาอยู่ที่การกดขี่ข่มเหงรังแกราษฎร ทำหยาบช้าต่อบ้านเมืองจนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าโดยสิบขันที ปรากฏว่าวีรชนทั้งสามคือทั้งเล่าปี่, โจโฉ และซุนเกี๋ยนได้ยอมรับอำนาจที่เป็นธรรมโดยรูปแบบ แต่เป็นอธรรมโดยเนื้อหานั้น เคลื่อนกำลังเข้าสู่สมรภูมิเพื่อปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง ทั้งๆที่วันเวลาข้างหน้าต่างคนต่างก็ได้กระทำการที่ไม่ต่างอันใดกับการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในครั้งนี้



ขอขอบคุณ 

บางช่วงบางตอนจาก สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12    

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 8.เส้นทางสู่อำนาจของโจโฉ

ถ้าแผ่นดินเป็นปกติและการทหารเข้มแข็ง การส่งกองทัพจากเมืองหลวงไปปราบโจรก็เห็นได้ชัดว่ากองทัพจากเมืองหลวงจะได้รับชัยชนะเป็นแน่แท้ แต่เนื่องจากแผ่นดินของเลนเต้อ่อนแอในทุกด้าน รวมทั้งด้านการทหาร ดังนั้นแม้จะส่งกองทัพจากเมืองหลวงออกไปปราบโจรถึงสามด้าน ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ

นอกจากไม่ไว้วางใจในกองทัพของตนแล้ว อาจจะเกิดจากความขี้ขลาดตาขาวกลัวแพ้โจรก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องมีท้องตราไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ให้ช่วยกันปราบโจรทางหนึ่ง และยังส่งกองทัพเสริมเพิ่มเติมตามไปอีก กองทัพที่ส่งเสริมตามไปนี้ พระเจ้าเลนเต้โปรดให้โจโฉเป็นแม่ทัพ นำกำลังห้าพันยกไปช่วยกองทัพที่ยกไปก่อนหน้าแล้ว โดยให้เดินทัพตรงไปยังเมืองเองฉวน ซึ่งขณะนั้นถูกกองทัพโจรโพกผ้าเหลืองที่นำโดยเตียวโป้และเตียวเหลียงล้อมอยู่ 

“โจโฉ” นั้น “สูงประมาณห้าศอก จักษุเล็ก หนวดยาว”สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หนได้พรรณนาประวัติของโจโฉไว้ว่า เป็นบุตรโจโก๋ เมื่อน้อยมักพอใจไปเล่นป่ายิงเนื้อ มักพอใจฟังร้องรำทำเพลง มีปัญญาความคิดรวดเร็ว” เป็นคนชอบคบหาเพื่อนฝูงมาตั้งแต่น้อย เพื่อนเล่นทั้งปวงยกย่องโจโฉเป็นหัวหน้า จะทำการสิ่งใดก็ประพฤติตนเป็นหัวหน้าคนมาตั้งแต่ยังเด็ก 



โจโฉเป็นคนเจ้าอุบายมาแต่อ้อนแต่ออก และเพราะเหตุที่ซุกซนจึงไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของอาที่ชื่อ “โจเต๊ก” คอยหาเหตุกลั่นแกล้งอยู่เสมอ โจโฉเห็นอากลั่นแกล้งก็คิดแก้แค้น โดยไม่คำนึงว่า โจเต๊กนั้นเป็นญาติผู้ใหญ่ มีฐานะเป็นอาของตน คิดแต่จะเอาชนะอาให้จงได้  
          
วันหนึ่งโจโฉจึงแกล้งล้มลงร้องไห้ทุรนทุราย โจเต๊กนำความไปบอกโจโก๋ผู้พี่ว่าโจโฉมีอันเป็นไปแล้ว โจโก๋ตกใจวิ่งมาดูปรากฏว่าโจโฉยังคงเล่นหัวกับเพื่อนเป็นปกติ จึงถามความเอากับโจโฉ ดังนั้นจึงเป็นทีของโจโฉได้แก้แค้นอาโดยบอกกับโจโก๋ผู้เป็นพ่อว่าอาชังข้ามาแต่น้อย คิดแต่จะสาปแช่งให้มีอันเป็น ข้ายังเล่นหัวกับเพื่อนเป็นปกติ ไม่เคยเกิดเรื่องราวใด ๆ อากลั่นแกล้งเอาความมาใส่ หลังจากวันนั้นแล้วโจโก๋ก็เชื่อคำโจโฉ แม้อาจะนำความใดมากล่าว โจโก๋ก็ไม่ได้เชื่อฟังอีกต่อไป โจโฉก็ยิ่งฮึกเหิมในสติปัญญาของตน 

เพื่อน ๆ ก็สรรเสริญความคิดของโจโฉเป็นอันมาก ยกยอว่าแผ่นดินเป็นจลาจล ไม่มีผู้ใดมีสติปัญญาจะแก้ไขให้เป็นปกติได้ เห็นแต่โจโฉเท่านั้นที่มีสติปัญญาปราบปรามให้การแผ่นดินเป็นสุข โจโฉได้ฟังแล้วก็มีความลำพองในความคิดและสติปัญญาตนเป็นอันมาก

ในเมือง “ลำหยง” ซึ่งเป็นบ้านเดิมของโจโฉ มีหมอดูมีชื่อเสียงอยู่สองคน คนหนึ่งชื่อ “โหเง้า” นิยมชมชอบโจโฉมาตั้งแต่เด็ก ดูบุคลิกลักษณะโจโฉแล้วเชื่อว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน หมอดูคนนี้เป็นคนพูดมาก ดังนั้นไม่ว่าจะไปแห่งหนตำบลใดก็ชอบพูดว่า “แผ่นดินเมืองหลวงนั้นจะสูญเสียแล้ว ซึ่งจะปราบแผ่นดินให้ราบนั้นเห็นแต่โจโฉผู้เดียว

การที่หมอดูไปเที่ยวพูดทั่วไปว่าโจโฉจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เท่ากับว่าโจโฉมีฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในยุคนั้น คอยสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเองว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทำให้มีผู้คนมาเป็นสมัครพรรคพวกมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องจ้างขานวานซื้อเหมือนที่ทำกันอยู่ในบ้านเมือง

ขณะนี้หมอดูที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งมีชื่อว่า “เขาเฉียว” มีกิตติศัพท์เล่าขานว่าสามารถดูโหงวเฮ้ง พยากรณ์แม่นยำดุจเทพยดา โจโฉอยากรู้อนาคตของตนจึงไปถามหมอดูคนนี้ว่าภายหน้าโชควาสนาตนจะเป็นประการใด หมอดูก็นิ่งเฉยเสีย โจโฉถามซ้ำเข้าไปอีก หมอดูคนนี้จึงกล่าวว่า “ท่านมีปัญญามาก จะป้องกันแผ่นดินได้อยู่ แต่มิได้สัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน จะเป็นศัตรูราชสมบัติ 

คำทำนายแบบนี้หากเกิดขึ้นกับคนทั่วไป หมอดูคงจะถูกเตะเป็นแน่นอน เพราะการเป็นศัตรูราชสมบัติเป็นความผิดฐานกบฎ ต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร เป็นข้อหาอันเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของสังคมโดยทั่วไป ยากที่จะมีผู้ใดยอมรับได้ แต่โจโฉฟังคำทำนายแล้วกลับหัวเราะชอบ

ใจโจโฉเป็นคนใฝ่อำนาจและใฝ่สูงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อประกอบเข้ากับความเฉลียวฉลาด เล็งการไกลแล้ว ดังนั้นเมื่ออายุได้ 20 ปี โจโฉจึงไปสมัครเข้ารับราชการเป็นทหารในเมือง “ลกเอี๋ยง” ซึ่งเป็นเมืองหลวง ในตำแหน่งหน้าที่ทหารลาดตระเวน มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของวังหลวง 

การสมัครรับราชการทหารในเมืองหลวงของโจโฉ  แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำทำนายของหมอดูทั้งสองคน และคำยกย่องของเพื่อนฝูงในวัยเด็กมีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดอ่านของโจโฉ และทำให้โจโฉเชื่อว่าอนาคตของตนจะเป็นเช่นนั้น จึงดำเนินวิถีชีวิตของตนให้สอดคล้องกับคำพยากรณ์และคำยกย่องดังกล่าว 

โจโฉเป็นคนเด็ดขาดมาตั้งแต่เยาว์วัย จะพูดจะจาก็ฉะฉานชัดเจนเด็ดขาด ใครจะพูดจะจาด้วยก็เป็นที่พอใจ และเกิดความเชื่อถือวางใจ เหตุนี้โจโฉจึงเป็นที่รัก ที่เกรงใจของคนอื่น เมื่อมาเป็นทหารลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยของวังหลวงก็เคร่งครัดต่อระเบียบวินัย ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด

เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ โจโฉได้ปักรั้วกำหนดเขตห้ามมิให้คนเดินล้ำเข้าไปใกล้กำแพงพระราชวัง ต่อมาคืนวันหนึ่งขันทีเดินมาผิดเวลา และล่วงล้ำเข้าไปในเขตห้ามล่วงล้ำที่โจโฉกำหนดไว้ โจโฉก็จับเอามาลงโทษให้ทหารโบย ความทราบถึงพระเจ้าเลนเต้ก็พอพระราชหฤทัย เลื่อนตำแหน่งให้เป็นหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน

ครั้นโจรโพกผ้าเหลืองกรีฑาทัพเข้าประชิดหัวเมืองต่าง ๆ และมีพระบรมราชโองการจัดทัพจากเมืองหลวงออกเป็นสามด้าน ยกเข้าตีกองทัพโจรแล้ว ก็ยังไม่เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย พระเจ้าเลนเต้กริ่งว่าจะเสียที จึงโปรดให้โจโฉเป็นนายทัพ คุมทหารห้าพันยกไปช่วยแม่ทัพรองคือ “ฮองฮูสง”และ “จูฮี” ที่เมือง “เองฉวน” ซึ่งขณะนั้นกองทัพของขบวนการกู้ชาติ  ส่วนที่นำโดยแม่ทัพรองคือ “เตียวโป้” และ “เตียวเหลียง” กำลังล้อมเมือง “เองฉวน” อยู่ และสถานการณ์ของกองทัพเมืองหลวงก็อยู่ในสถานะตั้งรับหรือตั้งยันเท่านั้น            

โจโฉเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อย แค่เพียงหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน แต่กลับได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้คุมกองกำลังทหารหลวงถึงห้าพัน ทั้ง ๆ ที่ราชสำนักยังมีแม่ทัพนายกองอื่นอีกมากมายเช่นนี้ แม้สามก๊กทุกฉบับจะมิได้ให้เหตุผลว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่หากไม่ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับระบบส่วยสินบนของสิบขันก็เป็นได้


ขอขอบคุณ 

บางช่วงบางตอนจาก สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12