วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 17.สั่งสอนต๊กอิ้ว

ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งไปรับตำแหน่งเป็นนายอำเภอเมืองอันฮ่อกวนนั้น ก็ถูกสิบขันทีส่งลูกน้องชื่อต๊กอิ้วไปเรียกเอาส่วยสินบนเช่นเดียวกัน

ต๊กอิ้วไปถึงเมืองอันฮ่อกวนก็วางอำนาจบาตรใหญ่ซักไซร้ประวัติและผลงานของเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่บอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์และมีความชอบในการปราบศึกโจรโพกผ้าเหลือง ต๊กอิ้วไม่ยอมเชื่อหาว่าเป็นการแอบอ้าง แล้วแจ้งว่ามีรับสั่งให้มาเรียกส่วยจากขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ เล่าปี่มิได้ว่าประการใดและลาไปที่อยู่ แล้วเชิญปลัดอำเภอมาปรึกษา ปลัดอำเภอรู้ธรรมเนียมของเมืองตาหลิ่วดี จึงบอกแก่เล่าปี่ว่าต๊กอิ้วมาครั้งนี้ด้วยหวังเอาสินบนเข้าตัว ไม่ใช่ภาษีเก็บเข้าหลวง

เล่าปี่จึงว่า “ตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้จะได้ค่าธรรมเนียม แลเบียดเบียนด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่ง แก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบน

คำของเล่าปี่นี้สะท้อนถึงคุณธรรมประจำตัวและวัตรปฏิบัติราชการของเล่าปี่ อันเป็นที่มาของความเคารพรักศรัทธาจากราษฎร หลังจากนี้เกือบสองพันปี เหมาเจ๋อตงผู้ นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงได้นำหลักการนี้ไปบัญญัติเป็นข้อหนึ่งในวินัยใหญ่สามข้อของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนว่า “ห้ามเอาด้ายสักเส้น เข็มสักเล่มจากราษฎร

รุ่งขึ้นต๊กอิ้วได้เรียกปลัดอำเภอมาสอบสวน บังคับให้กล่าวหาว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปลัดอำเภอไม่ยอมกล่าวหา ต๊กอิ้วจึงสั่งให้นักการอำเภอเฆี่ยนปลัดอำเภอ บังคับให้ใส่ความเล่าปี่ แต่ปลัดอำเภอก็สู้ทนอาญา ก้มหน้าทนเจ็บทนรับความปวดไม่ยอมกล่าวคำอันเป็นอาสัตย์ พอเล่าปี่จะมาพบต๊กอิ้วก็ไม่ให้เข้าพบ เล่าปี่จึงกลับไปที่พัก ราษฎรได้ทราบความจึงพากันมาที่อำเภอเพื่อจะช่วยเหลือปลัดอำเภอ แต่นายประตูได้ห้ามไว้

ราษฎรได้ชุมนุมอยู่ที่หน้าอำเภอด้วยความสงสารปลัดอำเภอและเล่าปี่ แล้วพากันร้องไห้ระงม พอดีเตียวหุยเสพสุราขี่ม้าผ่านมาประสบเหตุ ได้ทราบความเข้าก็โกรธ บุกเข้าไปจิกหัวต๊กอิ้วลากออกมาหน้าเรือนรับรอง จับผูกเข้ากับหลักม้า แล้วเอาแส้ม้าเฆี่ยนต๊กอิ้วเจ็บปวดเป็นสาหัส เล่าปี่ได้ยินเสียงร้องของต๊กอิ้วก็วิ่งมาดู พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจจึงเข้าห้ามเตียวหุย ต๊กอิ้วเห็นดังนั้นจึงร้องขอให้เล่าปี่ช่วยชีวิต เล่าปี่มีใจสงสารก็ห้ามเตียวหุยไม่ให้เฆี่ยนต๊กอิ้วอีกต่อไป

พอดีกวนอูผ่านมารู้เหตุแล้วจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า “เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเป็นหลายครั้ง ก็ได้เป็นแต่เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้า ดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมาประดุจหงส์ซึ่งจะอาศัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศัยแห่งเราดีกว่า ภายหลังจึงจะค่อยคิดการณ์ใหญ่สืบไป

            ความตอนนี้แสดงออกถึงอัธยาศัยใจคอ ความทรนงในศักดิ์และความปรารถนาทำการใหญ่ของกวนอูอย่างชัดเจน
เล่าปี่ฟังแล้วเห็นชอบด้วย แต่การที่จะฆ่าต๊กอิ้วเป็นการไม่สมควรเพราะเป็นผู้ถือรับสั่ง แม้ว่าจะมีการแอบอ้างอยู่ด้วยก็ตามที เล่าปี่จึงได้เอาตราสำคัญของนายอำเภอมาผูกคอต๊กอิ้ว แล้วว่าจะไว้ชีวิตให้ครั้งหนึ่ง บัดนี้เราไม่ต้องการทำราชการแล้ว ให้ต๊กอิ้วนำตรากลับไป

ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12 

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 16.ความชอบของเล่าปี่

ความพิศดารของสามก๊กประการหนึ่งก็คือ ได้แสดงเรื่องราวต่างๆที่ประหลาดพิศดารเหนือความคาดหมายของชาวโลก เรื่องราวบางอย่างที่พึ่งเกิดขึ้นในยุคนี้กลับมีปรากฏอยู่ในสามก๊กอย่างคาดไม่ถึง

ในบรรดาการปล้นที่มีอยู่ในโลกนี้อาจจำแนกได้เป็น 3 ชนิดคือใช้กำลังและอาวุธเข้าปล้นชิงเอาแบบปล้นวัวปล้นควาย และทรัพย์สินเงินทองอย่างอื่น ปล้นโดยใช้ปากกาเป็นอาวุธ พลิกดำเป็นขาวกลับขาวเป็นดำ และการใช้อิทธิพลปล้นความดีความชอบ
             
การปล้นโดยใช้กำลังและอาวุธมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ ในขณะที่การปล้นโดยใช้ปากกามีขึ้นตั้งแต่เริ่มมีกระบวนการยุติธรรม ส่วนการปล้นโดยใช้อิทธิพลพึ่งมีปรากฏให้เห็นในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูนี้เอง
            
แต่ที่ไหนได้การปล้นทุกชนิด กลับมีปรากฏอยู่ในสามก๊กทั้งสิ้น 

หลังเหตุการณ์ที่เล่าปี่และเตียวกิ๋นเข้าเฝ้าแล้ว สิบขันทีจึงปรึกษาหารือกันว่าผู้มีความชอบในการปราบโจรโพกผ้าเหลืองมีอยู่มาก หากไม่จัดสรรตำแหน่งเล็กๆน้อยๆให้บ้างคนพวกนี้ก็คงจะมาถวายฎีกาอีก จะทำให้เดือดร้อนกันเปล่าๆ สมควรที่จะต้องบอกกล่าวให้กรมกำลังพลจัดสรรตำแหน่งให้ จะได้ไปพ้นหูพ้นตาแล้วค่อยคิดอ่านจัดการในภายหลัง

สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หนกล่าวความในตอนนี้ว่า สิบขันทีตกลงกันให้เฉยไว้ ส่วนฉบับภาษาจีนระบุความไว้ชัดเจนว่าสิบขันทีได้วางแผนแก้ไขปัญหาความรำคาญที่มีผู้มาเพ็ดทูลฎีกาขอบำเหน็จความชอบซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิบขันที จึงสั่งการให้กรมกำลังพลจัดสรรตำแหน่งเล็ก ๆ น้อยๆ ให้แก่บรรดาผู้มีความชอบ แล้วให้ไปรับราชการในต่างถิ่น

เหตุนี้ผู้มีความชอบในศึกปราบโจรโพกผ้าเหลืองหลายคนจึงได้รับการปูนบำเหน็จเล็กๆน้อยๆ สำหรับเล่าปี่นั้นได้ใบบุญไปด้วย เพราะทรงโปรดให้ไปเป็นนายอำเภอเมืองอันฮ่อกวน ซึ่งเป็นอำเภอเล็กๆ อยู่ห่างไกลเมืองหลวง

เป็นอันว่าแผนลดความขัดแย้งกับบรรดาผู้มีความชอบในสงครามปราบโจรโพกผ้าเหลืองของสิบขันทีดำเนินไปอย่างได้ผล เพราะผู้มีความชอบเหล่านั้นต้องแยกย้ายกันออกไปทำราชการในหัวเมือง ไม่เป็นที่รกหูรกตาและไม่มาเที่ยวทูลเกล้าถวายฎีกาให้เป็นที่วุ่นวายใจของสิบขันทีต่อไป

เล่าปี่รับพระบรมราชโองการแล้วได้ให้ทหารซึ่งมาด้วยนั้นกลับคืนไปต้นสังกัดเดิม คงเอาแต่คนสนิทประมาณ 20 คนไว้ แล้วพากวนอู เตียวหุยพร้อมคนเหล่านั้นเดินทางไปรับตำแหน่งนายอำเภอเมืองอันฮ่อกวน เล่าปี่ได้ปกครองบ้านเมืองโดยยุติธรรมคดีความก็เสร็จสิ้นไป ราษฎรทั้งปวงได้ความสุขต่างสรรเสริญและมีใจภักดีต่อเล่าปี่เป็นอันมาก

แต่เวรกรรมของบรรดาผู้มีความชอบในการปราบโจรโพกผ้าเหลืองภายใต้ระบบขันทีในแผ่นดินเลนเต้ยังไม่หมดสิ้น เพราะสิบขันทีได้วางแผนกันไว้ก่อนแล้วว่าที่มีการปูนบำเหน็จไปนั้นเพียงเพื่อไม่ให้มีการร้องทุกข์ถวายฎีกาให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ตน แล้วจะคิดบัญชีในภายหลัง

ดังนั้นเมื่อบรรดาผู้มีความชอบแยกย้ายกระจายกันไปทำราชการตามหัวเมืองแล้วสิบขันทีก็เริ่มดำเนินงานตามระบบที่คุ้นเคยของตน ด้วยการออกประกาศเวียนทั่วไปและเจาะจงให้ไปถึงบรรดาผู้มีความชอบที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ว่าแผ่นดินมีขุนนางข้าราชการมากเกินไป เป็นภาระแก่งบประมาณแผ่นดิน ทางราชการมีความจำเป็นที่จะต้องลดจำนวนขุนนางและข้าราชการลง ถ้าใครมีข้อสงสัยประการใดก็ให้ขอทราบรายละเอียดได้ที่กรมขันที
           
ในขณะเดียวกันนั้นก็ส่งสมุนออกไปว่ากล่าวแก่ขุนนาง ข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนทั้งปวงที่ได้รับความชอบจากการปราบโจรโพกผ้าเหลืองว่า “ถ้าผู้ใดมีทรัพย์ข้าวของเงินทองเอาไปให้แก่ขันทีนายเราแล้ว นายเราจะช่วยทูลเสนอความชอบให้ ถ้าใครมิได้ให้ นายเราจะทูลให้ออกเสียจากที่ขุนนาง

ขุนนางข้าราชการที่ได้รับความชอบดังกล่าว ได้ยินยอมเข้าสู่ระบบส่วยสินบนของสิบขันทีเป็นอันมาก ซึ่งย่อมรวมถึงตั๋งโต๊ะ โจโฉและซุนเกี๋ยนด้วย คนเหล่านี้จึงยังคงดำรงอำนาจวาสนาและมีความก้าวหน้าในราชการต่อไปได้

ภายในเมืองหลวงปรากฏว่ามีขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารสามคนไม่ยอมรับระบบส่วยสินบนของสิบขันทีคือโลติด ฮองฮูสงและจูฮี

แต่โลติดอดีตแม่ทัพใหญ่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองคนแรกนั้นคุมกำลังทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์สิบขันทีจึงไม่อยากข้องแวะด้วย ซึ่งคงจะถือหลักนักเลงว่า “พบเสือให้หนี พบหมูให้กิน” ดังนั้นสิบขันทีจึงยังไม่กล้าข้องแวะกับโลติด

ส่วนฮองฮูสงอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ตั้งไปแทนตั๋งโต๊ะปราบโจรโพกผ้าเหลือง และจูฮี ซึ่งเป็นแม่ทัพรองนั้นทั้งสองคนได้รับปูนบำเหน็จตั้งเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง มีตำแหน่งเฝ้าและกินหัวเมืองด้วย แต่ไม่ได้คุมกำลังทหารประจำการ ดังนั้นเมื่อไม่ยอมเอาเงินทองไปติดสินบนสิบขันที จึงถูกสิบขันทีเพ็ดทูลยุยงพระเจ้าเลนเต้ให้ถอดออกเสียจากที่ขุนนาง


เมื่อตำแหน่งแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง ซึ่งเป็นตำแหน่งใหญ่โตของแผ่นดินว่างลงถึงสองตำแหน่ง สิบขันทีก็กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้แต่งตั้งเตียวต๋งและเตียวเหยียงซึ่งเป็นแกนนำสำคัญของสิบขันทีให้ครองตำแหน่งแทน

ส่วนขันทีที่เหลืออีกแปดคน ก็โปรดให้เลื่อนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทุกคน “ราชการนั้นก็ฟั่นเฟือนไป ราษฎรได้ความเดือดร้อน

ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12 
       

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เคาเจ้ง นักดูคน


ช่วงอายุ ???-222


ประวัติ และ ลักษณะนิสัย

เคาเจ้ง ที่ปรึกษาของจ๊กก๊ก เป็นชาวเมืองยีหลำ เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการอ่านบุคลิก และวิเคราะห์ลักษณะของคนอื่น 


รับราชการ

เคยเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งของเล่าเจี้ยง หลังจากที่เล่าเจี้ยงยอมจำนนต่อเล่าปี่ เคาเจ้งได้สาบานว่าจะสวามิภักดิ์ต่อเล่าปี่อย่างจริงใจ 


ตำแหน่ง

หลังจากเล่าปี่ได้สถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้แล้ว เค้าเจ้งก็ได้รับตำแหน่งเป็นราชครู 


ขอขอบคุณ


รูปภาพเเละข้อมูลจากเกมส์ Romance of the three kingdom 12

งำเต็ก ผู้เดินสารสวามิภักดิ์


ช่วงอายุ 170-243


ประวัติ เเละ ลักษณะนิสัย

งำเต็ก ที่ปรึกษาของง่อก๊ก เป็นชาวตำบลซานอิน เมืองหุ้ยจี มณฑลซานซี มีชื่อทางการเต๊อะหยุน วัยเด็กยากจน ไม่มีเงินซื้อตำราอ่าน ต้องอาศัยยืม หรือ อ่านพร้อมผู้อื่นแต่มีความจำเป็นเลิศ ถ้าได้อ่านรอบเดียวก็จำได้แม่นไม่มีวันลืม ทั้งยังพูดเก่งใจกล้า


รับราชการ

เข้าราชการกับซุนกวนในศึกเซ็กเพ็ก 

บทบาทสำคัญ

เดินสารสวามิภักดิ์

นอกจากจิวยี่และขงเบ้งแล้ว งำเต็กเป็นเพียงผู้เดียวที่มองว่า การที่จิวยี่สั่งให้โบยอุยกายจนสาหัสปางตายนั้น เป็นเพียงอุบายที่ต้องหลอกโจโฉ ตกกลางคืนงำเต็กลอบเข้าไปหาอุยกายที่กระโจม จึงแน่ชัดว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นเป็นอุบาย ด้วยความเสียสละของอุยกาย งำเต็กจึงอาสาเป็นคนนำสารสวามิภักดิ์จากอุยกายไปหาโจโฉ 

เมื่อข้ามไปถึงโจโฉไม่เชื่อใจความในจดหมาย สั่งให้เอางำเต็กไปประหาร แต่งำเต็กหัวเราะเยาะ พร้อมชี้แจงเหตุผลและใช้วาทศิลป์โน้มน้าวว่า อุยกายเห็นที่จะเจ็บตัวเปล่า โจโฉสั่งไม่ประหาร แต่ก็ยังไม่เชื่อใจนักทีเดียว

เมื่อกลับมาแล้ว งำเต็กยังได้ร่วมมือกับกำเหลงรองแม่ทัพเรือ หลอกชัวต๋งและชัวโฮ น้องชายของชัวมอที่แสร้งเข้ามาสืบข่าวฝ่ายง่อก๊กโดยทำเป็นสวามิภักดิ์ว่าอุยกายคิดทรยศจริงเพื่อให้ทั้งคู่ส่งข่าวลวงไปให้ โจโฉเชื่อสนิทใจ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้กองทัพเรือของโจโฉถูกเผาจนวอดวาย

คัดเลือกแม่ทัพใหญ่ทลายจ๊กก๊ก

งำเต็ก ปรากฏบทบาทอีกครั้ง เมื่อเล่าปี่ยกทัพมาจากเสฉวนหมายจะล้างแค้นให้กวนอู ขณะที่ลิบองผู้ชนะกวนอูได้ก็ตายไปแล้ว ไม่รู้จะหาใครเป็นแม่ทัพใหญ่ไปสู้กับเล่าปี่ งำเต็กเป็นผู้เสนอแนะลกซุน บัณฑิตหนุ่มวัย 29 ปี ที่รักษาเมืองเกงจิ๋วอยู่ ซุนกวนเห็นดีด้วย แม้ที่ปรึกษาหลายคนคัดค้าน แต่งำเต็กยืนยันว่า ลกซุนสามารถทำการนี้ได้ และที่สุดก็เป็นไปดั่งที่งำเต็กคาดไว้ทุกประการ 


ตำแหน่ง

เมื่อซุนกวนตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ได้ตั้งให้งำเต็ก เป็น ราชเลขาธิการ และ มหาราชครูตามลำดับ 


ถึงแก่ความตาย

เมื่องำเต็กถึงแก่อสัญกรรมซุนกวนอาลัยมากถึงกับกินข้าวไม่ลงหลายวัน


ขอขอบคุณ

รูปภาพจากเกมส์ Romance of the three kingdom 12
หนังสือ นวนิยายภาพสามก๊กของเฉินเหว่ยตง

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 15.ศึกแตกหักอ้วนเซีย และ ไร้ความดีความชอบ

จูฮี เล่าปี่จึงล้อมเมืองไว้อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ล้อมเมืองอยู่นี้ซุนเกี๋ยนได้ยกทหาร 1,500 มาถึง จึงสมทบเข้ากับทัพหลวงของจูฮี จูฮีมีความยินดียิ่งนักจึงจัดทหารสามกอง กองหนึ่งให้เล่าปี่ตีด้านเหนือ กองหนึ่งให้ซุนเกี๋ยนตีด้านใต้ แล้วจูฮีพาอีกกองไปตีด้านตะวันตก เว้นไว้แต่ด้านตะวันออก


ในขณะเข้าตีเมืองนั้น ซุนเกี๋ยนอาศัยความกล้าหาญปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองอ้วนเซียได้ เตียวฮ่องเห็นเหตุการณ์จึงขึ้นม้าถือง้าวจะเข้ารบด้วยซุนเกี๋ยน แต่พอเตียวฮ่องเข้ามาใกล้เชิงเทิน ซุนเกี๋ยนก็โจนลงจากกำแพงเข้าชิงง้าวจากเตียวฮ่อง แล้วฟันเตียวฮ่องตกม้าตาย

ส่วนซุนต๋องเห็นเมืองแตกก็คิดจะหนี แต่ถูกเล่าปี่ยิงด้วยเกาทัณฑ์ตกม้าตาย 

กองทัพของจูฮียกเข้าเมืองได้แล้วฆ่าทหารซุนต๋ง เตียวฮ่องตายหมื่นเศษ และยึดสินศึกได้เป็นจำนวนมาก

จูฮี เล่าปี่ ซุนเกี๋ยน เสร็จศึกเมืองอ้วนเซียแล้ว จึงยกทหารไปยึดหัวเมืองต่างๆที่ถูกฝ่ายกู้ชาติยึดไว้กลับคืนถึงสิบสี่สิบห้าหัวเมือง จัดการปกครองเข้าที่เข้าทางแล้วจึงยกทัพกลับเมืองหลวง กราบทูลรายงานความทั้งปวงแก่พระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทรงทราบความแล้ว จึงโปรดให้จูฮีเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลางเช่นเดียวกับฮองฮูสง มีตำแหน่งเฝ้าและให้เป็นเจ้าเมืองโห้หลำ ส่วนซุนเกี๋ยนโปรดให้ไปเป็นกรมการหัวเมือง มีอำนาจบัญชาทหารห้ากองพัน

สำหรับเล่าปี่มิได้ตรัสประการใด เล่าปี่คอยท่าบำเหน็จอยู่ในเมืองหลวงเดือนเศษ ไม่ได้ข่าวคราวประการใดก็เสียน้ำใจนัก


เล่าปี่หลังจากถูกปิดบังความชอบจากการกรำศึกที่ยากเข็ญแสนสาหัสแล้ว ได้แต่เฝ้ารอความหวัง แต่ไร้ข่าวคราว วันหนึ่งเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยไปเดินเล่นชมเมืองพบเตียวกิ๋น ซึ่งเป็นมหาดเล็กในพระเจ้าเลนเต้ และทราบข่าวว่าไม่ค่อยกินเส้นกับพวกสิบขันที เล่าปี่จึงเข้าไปหา กระทำคำนับ แนะนำตัวเองแล้วร้องทุกข์ว่าได้ทำความชอบในการทำศึกปราบโจรโพกผ้าเหลืองเป็นอันมากแต่ไม่ได้รับปูนบำเหน็จความชอบใด ๆ แล้วเล่าความทั้งปวงให้เตียวกิ๋นฟัง

เตียวกิ๋นคงเห็นเป็นทีจะได้เล่นงานสิบขันที จึงพาเล่าปี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเลนเต้กราบทูลว่า “เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นครั้งนี้ เพราะเหตุด้วยพระองค์เชื่อฟังขันทีสิบคน ขันทีสิบคนนั้นตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร กลับจริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเป็นยุติธรรมนั้นให้ถอดเสีย เอาสินบน ผู้หาสัตย์ไม่เอามาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย บ้านเมืองก็เกิดจลาจล อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาคุมเท่าบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้เอาขันทีสิบคนไปตัดศีรษะ ประกาศแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้ทั่วทุกหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ใครมีสติปัญญาเป็นยุติธรรมมีความชอบก็ให้ตั้งเป็นขุนนาง โดยยศถาศักดิ์ตามสมควร บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป

คำกราบทูลนี้ฟังแล้วเห็นได้ว่า เตียวกิ๋นเป็นขุนนางที่ซื่อตรงต่อแผ่นดินคนหนึ่ง แต่เพราะความไม่พอใจสิบขันทีล้นอยู่ในอก เตียวกิ๋นที่สู้นำเล่าปี่เข้าเฝ้ากลับไม่กราบทูลเสนอความชอบของเล่าปี่แม้แต่คำเดียว เอาแต่ขอให้ประหารสิบขันทีเสีย แต่อาจเป็นโชคดีของเล่าปี่ เพราะหากเสนอความชอบไปแล้วเล่าปี่ก็อาจต้องรับชะตากรรมที่ไม่คาดคิดได้

สิบขันทีฟังคำกราบทูลอยู่ก็ตกใจ เพราะความที่เตียวกิ๋นกราบทูลนั้นเป็นเรื่องใหญ่มีโทษถึงตาย จึงแสร้งถอดหมวกยศ ทำทีเสียใจจะลาออกจากราชการ แล้วร้องไห้ขอความสงสารว่า ถูกใส่ร้ายเกิดจากความอิจฉาของเตียวกิ๋น และเป็นความอิจฉาที่มีต่อฮ่องเต้ เพราะสิบขันทีได้ปรนนิบัติรับใช้เป็นอันดีด้วยความสัตย์สุจริตและเสียสละอันสูงสุด ไม่เคยคิดเห็นแก่ครอบครัวหรือญาติพี่น้อง กราบทูลแล้วสิบขันทีได้ตำหนิเตียวกิ๋นต่อหน้าพระพักตร์ว่าเตียวกิ๋นเป็นเพียงขุนนางผู้น้อย ไฉนบังอาจมาสั่งสอนฮ่องเต้ ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ ไม่ยำเกรงพระราชอาญาในองค์พระจักรพรรดิ

พระเจ้าเลนเต้ได้ยินคำขันทีก็มีน้ำพระทัยคล้อยตาม จึงตำหนิเตียวกิ๋นว่า ตัวเป็นขุนนาง มีคนรับใช้ใกล้ชิดมากมายอยู่แล้ว พระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์มีขันทีคอยรับใช้บ้างทำไมต้องมาอิจฉาริษยากัน แล้วตรัสสั่งให้ทหารไล่เตียวกิ๋นและ เล่าปี่ออกไป

นี่คือปรากฏการณ์ปูนบำเหน็จในแผ่นดินของเลนเต้ โดยที่เล่าปี่หารู้ไม่ว่า ความดีความชอบในแผ่นดินนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงาน แต่ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสินบนเท่านั้น

ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
http://www.paisalvision.com/2008-10-30-11-41-42/59--8-.html
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12 

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 14.ปะทะเตียวโป้ และ ศึกเมืองอ้วนเซีย ครั้งที่ 1

พระเจ้าเลนเต้ ให้โจโฉไปกินเมืองจี้หนำ ในขณะที่เล่าปี่นั้นถึงวันนี้ยังคงกรำศึกอยู่ในสนามรบ โดยที่ยังไม่เคยได้รับบำเหน็จความชอบใด ๆ เลย

ทางด้านจูฮี เล่าปี่ ได้ทำศึกกับเตียวโป้หลายครั้ง ครั้งแรกเตียวหุยเอาทวนแทงโกเสงทหารเตียวโป้ตกม้าตายยังไม่ทันครบสามเพลง กองทัพเตียวโป้ก็แตกถอยไป เล่าปี่ไล่ตามตี เตียวโป้จนตรอกเข้าก็ใช้วิชาผูกพยนต์เสกฟางให้เป็นทหาร  แล้วเรียกลมฝน “ให้เป็นเมฆมืดอากาศฟ้าร้อง ลมพายุพัดหนักฝนตก แล้วมีคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาแต่อากาศ” ทหารเล่าปี่ก็ตกใจ เล่าปี่จึงให้ถอยทัพแล้วปรึกษากับจูฮี เพื่อแก้วิทยาคมของเตียวโป้ 





vs

รุ่งขึ้นเตียวโป้ยกทหารมารบอีก และใช้วิทยาคมเหมือนกับวันก่อน  “เป็นเมฆมืดฟ้าร้องลมพัดหนักฝนตก เป็นคนขี่ม้าถืออาวุธลงมาจากอากาศเป็นอันมาก”  เล่าปี่จึงทำเป็นถอยทัพมายังจุดซุ่มที่เตรียมไว้แก้วิทยาคมของเตียวโป้
เตียวโป้และทหารหุ่นพยนต์ไล่ตามเล่าปี่มาถึงจุดซุ่ม ก็ถูกกวนอู เตียวหุยซึ่งซุ่มทหารไว้สองข้างทาง เอาของโสโครกและโลหิตสุกรสุนัขนั้นสาดไปถูกพวกโจร แลคนขี่ม้าซึ่งลงมาแต่อากาศนั้นก็กลายเป็นกระดาษ ม้านั้นก็กลายเป็นมัดหญ้าไป เมฆแลฝนลมนั้นก็หายสว่างไป


เตียวโป้เห็นวิทยาคมถูกทำลายก็ถอยทัพ จูฮี เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้ทีจึงไล่ตามตีทัพเตียวโป้แตกพ่ายไป ตัวเตียวโป้ถูกเล่าปี่เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกไหล่ซ้าย แต่เตียวโป้ก็หนีรอดเข้าเมืองเยียงเซียไปได้ 

จูฮี เล่าปี่ ได้ยกทหารเข้าล้อมเมืองเยียงเซียไว้ ทำให้ในเมืองขาดเสบียงและยากลำบาก  ลำแจ้งทหารของเตียวโป้และสมุน จึงแปรพักตร์หักหลังเจ้านายของตนเองลอบสังหารเตียวโป้ แล้วตัดศีรษะออกมาให้เล่าปี่ จูฮีที่นอกเมือง และขอทำราชการด้วย


จูฮีมีชัยชนะในการศึกก็มีความยินดี จึงแต่งหนังสือรายงานข้อราชการกราบทูลความชอบต่อพระเจ้าเลนเต้  แต่ยังไม่ทันเดินทัพกลับก็ได้รับหมายรับสั่งว่า  เตียวฮ่อง ฮั่นต๋ง ซุนต๋อง ทหารเตียวก๊กซ่องสุมพวกโจรได้หลายหมื่น เข้าตีบ้านเผาเมืองเสียหลายเมืองแล้วตั้งอยู่ที่เมืองอ้วนเซีย ให้จูฮีไปปราบโจรกลุ่มนี้ให้ราบคาบ 

จูฮี เล่าปี่จึงยกทหารไปล้อมเมืองอ้วนเซียรบกับสมุนของเตียวก๊ก หลังจากล้อมเมืองแล้วไม่นาน ข้างในเมืองก็ขาดเสบียงอาหาร ฮั่นต๋งจึงใช้ทหารมาขอสวามิภักดิ์ แต่ จูฮีไม่ยอมรับ เล่าปี่จึงว่า “ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจได้ราชสมบัตินั้น เพราะมีผู้มาเข้าเกลี้ยกล่อมเป็นอันมาก เหตุไฉนท่านจึงไม่รับเกลี้ยกล่อม

จูฮีไขว่า “ ครั้งพระเจ้าฮั่นโกโจนั้น บ้านเมืองมิได้ปกติ มีเสี้ยนหนามเป็นอันมาก พระเจ้าฮั่นโกโจจึงรับเกลี้ยกล่อมคนทั้งปวง ครั้งนี้มีจลาจลแต่โจรพวกเดียว ครั้นจะเอาพวกโจรเข้าไว้ในเกลี้ยกล่อม คนทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่างว่าทำผิด และถ้ามีผู้มาปราบปรามก็จะละพยศอันร้ายเสีย นานไปก็จะรื้อทำความชั่วไปอีก

เล่าปี่เห็นชอบด้วย และเพื่อไม่ให้สมุนเตียวก๊กรบแบบสู้ตาย จะทำให้กองทัพเสียหายมาก ผิดตำราพิชัยสงคราม ดังนั้นจึงเข้าตีเมืองพร้อมกันเพียงสามทาง เปิดทางด้านตะวันออกให้เป็นทางหนี และฮั่นต๋งจึงยกพลหนีออกทางด้านตะวันออก เล่าปี่เห็นดังนั้นจึงพาทหารไล่ตามไปแล้วใช้เกาทัณฑ์ยิงถูกฮั่นต๋งถึงแก่ความตาย ส่วนเตียวฮ่องกับซุนต๋งรู้ว่าหลงกลจึงพาทหารหนีกลับเข้าเมืองได้


ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12   




วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เปิดตัวเเฟนเพจ

 สวัสดีครับ เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 20 มิถุนายน 2013 ได้เปิดเเฟนเพจ  Meeksam - kok ในเฟสบุค อย่าลืมเข้าไปไลค์เเละเเชร์ด้วยนะครับ

ตอนที่ 13.เตียวก๊กลาโลก ฮองฮูสงเผด็จศึก

เล่าปี่จากตั๋งโต๊ะมาหาจูฮีเเล้วเล่าเหตุการณืที่เกิดขึ้นให้ฟัง   จูฮีฟังความแล้วบอกเล่าปี่ว่า ตั๋งโต๊ะนั้นบ้านอยู่เมืองหลวง ได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางที่เจ้าเมืองฮ่อตัง เป็นคนไม่รู้การหนักเบามีแต่ถือตัว “ซึ่งท่านจะอยู่ด้วยนั้นหาประโยชน์มิได้” แล้วรับเล่าปี่มาอยู่ในกองทัพเดียวกัน

ฝ่ายตั๋งโต๊ะเมื่อรอดตาย จากการรบแพ้เตียวก๊กแล้ว ได้ทำศึกกับเตียวก๊กอีกหลายครั้ง รบทุกครั้งก็แพ้ทุกครั้ง เกิดความรักตัวกลัวตาย ไม่อยากรบพุ่งต่อไป จึงติดสินบนสิบขันที ให้พระเจ้าเลนเต้เรียกตัวกลับเมืองหลวง แล้วเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองซีหลง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ตอบแทนความชอบค่าส่วยสินบน ทำให้ตั๋งโต๊ะแทนที่จะต้องถูกลงโทษเพราะแพ้ศึก กลับมีอำนาจวาสนามากขึ้น

เมื่อเรียกตั๋งโต๊ะกลับแล้ว พระเจ้าเลนเต้ก็มีพระบรมราชโองการให้เลื่อนตำแหน่งฮองฮูสงเป็นแม่ทัพใหญ่แทนโลติด และรับสั่งให้ยกไปรบเตียวก๊ก ณ เมือง จงก๋ง ฮองฮูสงตีทัพเตียวก๊กแตกและสังหารเตียวก๊กในสนามรบ

โจโฉไล่ตามตีเตียวโป้ เตียวเหลียงไม่ทัน จึงได้กลับมาทำราชการอยู่กับฮองฮูสง ต่อมาเมื่อได้ข่าวว่าเตียวเหลียงหนีไปตั้งหลักอยู่ ณ เมืองโฉเหียง ฮองฮูสงจึงยกทหารไปเมืองโฉเหียง โจโฉจึงติดตามกองทัพไปด้วย

ฝ่ายจูฮีกับเล่าปี่ได้ข่าวว่าเตียวโป้ถอยไปตั้งหลักอยู่ที่ภูเขาลูกหนึ่ง มีกำลังทหารถึงแปดเก้าหมื่นคน จึงยกทัพจะไปรบกับเตียวโป้

สถานการณ์สงครามในขั้นนี้ ฝ่ายกู้ชาติเหลืออยู่เพียงกองทัพที่นำโดยเตียวโป้กับเตียวเหลียง ในขณะที่กองทัพจากเมืองหลวงก็ได้ปรับขบวนออกเป็นสองกอง กองหนึ่งฮองฮูสงเป็นแม่ทัพใหญ่ มีโจโฉอยู่ในสังกัดยกไปรบกับเตียวเหลียง ณ เมืองโฉเหียง ส่วนอีกกองหนึ่งจูฮีเป็นแม่ทัพมีเล่าปี่อยู่ในสังกัด ยกไปรบกับเตียวโป้

กองทัพของฮองฮูสงรบกับเตียวเหลียงได้รับชัยชนะติดต่อกันถึง 7 ครั้ง ครั้งหลังสุดฮองฮูสงฟันเตียวเหลียงตาย ทัพเตียวเหลียงแตกพ่ายไป ทหารเตียวเหลียงมาเข้าสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก ได้รับชัยชนะแล้วฮองฮูสงจึงคุมเอาเชลยศึก และศพเตียวก๊กหัวหน้าขบวนการกู้ชาติกลับเมืองหลวงเข้าเฝ้าถวายรายงานพระเจ้าเลนเต้

พระเจ้าเลนเต้โปรดให้ปูนบำเหน็จฮองฮูสง เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลาง ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แปลว่า เป็นทหารสำหรับรักษาพระองค์ และโปรดให้ไปเป็นเจ้าเมืองบุยจิ๋วด้วย 

ฮองฮูสงได้กราบทูลพระเจ้าเลนเต้ แก้ต่างให้โลติดอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ถูกถอดและจำเป็นนักโทษว่า ไม่ได้มีความผิดดังข้อกล่าวหา และความจริงโลติดมีความชอบใน การสงครามเป็นอันมาก พระเจ้าเลนเต้จึงโปรดให้โลติดพ้นโทษและคืนตำแหน่งเดิมแก่โลติดแต่ไม่ได้พระราชทานบำเหน็จความชอบใด ๆ ส่วนผู้ที่ใส่ร้ายโลติดซึ่งสมควรต้องสอบสวนพิจารณาโทษถึงประหารเพราะใส่ร้ายแม่ทัพในยามศึก ก็ไม่โปรดให้สอบสวนหรือดำเนินการใดๆ คงปล่อยให้คนชั่วลอยนวลไปดื้อๆ


ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12    

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ซุนเขียน ผู้เป็นทูตยุคแรกของจ๊กก๊ก



ช่วงอายุ : ???-214

ประวัติ และ ลักษณะนิสัย

ซุนเขียน (อังกฤษ: Sun Qian) เกิดที่เมืองปักไฮ เป็นเสนาธิการคนสำคัญของจ๊กก๊ก มีฝีมือด้านการทูต ฝีปากดี พูดจาฉะฉาน เป็นที่ปรึกษาคนสำคัญในช่วงก่อร่างสร้างตัวของเล่าปี่


รับราชการ

เดิมรับราชการอยู่กับโตเกี๋ยมเมื่อโตเกี๋ยมใกล้ตาย ได้ฝากฝังเมืองชีจิ๋วให้กับเล่าปี่ และแนะนำซุนเขียนให้คอยช่วยเหลือเล่าปี่ในการปกครอง ซุนเขียนได้รับใช้ติดตามเล่าปี่มาเป็นเวลาช้านาน 


บทบาทสำคัญ

ทูตกล่อมเล่าเปียว
เป็นคนที่แนะนำให้เล่าปี่ไปพึ่งเล่าเปียว เมื่อคราวแตกทัพหนีโจโฉจากเมืองเมืองชีจิ๋ว โดยตนเองจะขอไปเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวก่อน และเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ทูตให้เล่าปี่หลายครั้ง 


ตำแหน่ง

หลังจากเล่าปี่ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ได้รับบำเหน็จ มากเป็นอันดับสอง เท่ากับกันหยง รองจากบิต๊กเท่านั้น


ขอขอบคุณ


รูปภาพเเละข้อมูลจากเกมส์ Romance of the three kingdom 12
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตอนที่ 12.สินบนขันที ตั๋งโต๊ะพ่ายโจร

เล่าปี่รับคำสั่งของรองแม่ทัพฮองฮูสงแล้ว จึงยกทหารเดินทางกลับเมืองจงก๋งเพื่อบรรลุเข็มมุ่งทางทหารในการตีสกัด ไม่ให้ทัพเตียวโป้เตียวเหลียงบรรจบทัพกับเตียวก๊กได้สำเร็จ

เล่าปี่เคลื่อนทัพมาถึงกลางทางสวนกับคณะของข้าหลวง ซึ่งคุมคนโทษขังกรงใส่เกวียนมาด้วย เล่าปี่เห็นนักโทษคุ้นหน้านักจึงหยุดม้าแล้วลงไปดู เห็นแม่ทัพใหญ่โลติดถูกจำขังอยู่ในกรงก็เกิดความสงสัย จึงไต่ถามความกับโลติด

โลติดแจ้งแก่เล่าปี่ว่า “เราล้อมเตียวก๊กไว้ใกล้จะแตกอยู่แล้ว เตียวก๊กมีความรู้เป็นอันมาก จะเอาโดยเร็วยังมิได้พระเจ้าเลนเต้จึงใช้จูฮงชาววังมาสืบข่าวราชการ จูฮงจะเอาของกำนัลสินบนแก่เรา เราจึงว่าในกองทัพนี้ก็ขาดเสบียงอยู่ เราจะมีสิ่งใดให้สินบนเล่า จูฮงโกรธกลับไปทูลกล่าวโทษว่าเรานี้มิได้มีใจรบพุ่ง ราชการจึงเนิ่นช้าอยู่พระเจ้าเลนเต้จึงให้ตั๋งโต๊ะมาเป็นนายทัพแทนเรา แล้วให้จำเราใส่กรงส่งไปเมืองหลวง”

ความที่โลติดแจ้งแก่เล่าปี่นี้ แสดงให้เห็นถึงระบบราชการในแผ่นดินของพระเจ้าเลนเต้ได้อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า แม้ขนาดคนระดับแม่ทัพใหญ่อยู่หน้าศึกมีอาญาสิทธิ์ฆ่าคนได้ ทั้งกองทัพก็มีเสบียงไม่พอเพียงก็ยังถูกเรียกเอาสินบน

สามก๊กฉบับภาษาจีนว่า จูฮงนั้นมาจากกรมขันที จูฮงจึงเป็นลูกน้องของสิบขันทีใช้มาทำการ และสำหรับสิบขันทีแล้วไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ ในการส่งคนไปเรียกเอาสินบนจากขุนนางทุกๆฝ่ายในแผ่นดิน เพราะเข้าใจเอาเองว่าขุนนางทั้งปวงมีความชั่วช้าเลวทรามเหมือนกับตัว เมื่อได้รับตำแหน่งใดๆแล้วก็จะต้องแสวงหาประโยชน์ ทั้งในรูปของการฉ้อราษฎร์และในรูปของการบังหลวง ดังนั้นแม้ว่าโลติดจะเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ถือรับสั่งไปทำศึกปราบจลาจล ก็ยังถูกสิบขันทีมองว่ายิ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มาก เมื่อโลติดไม่มีทรัพย์สินเงินทองให้เป็นสินบนจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ท้าทายอำนาจสิบขันทีอย่างหนึ่ง และเข้าใจไปว่าได้รับผลประโยชน์เป็นจำนวนมากจากการศึก แล้วไม่แบ่งปันอีกอย่างหนึ่ง เหตุนี้โลติดจึงต้องถูกสิบขันทีกราบทูลให้พระเจ้าเลนเต้ถอดออกจากตำแหน่งกลายเป็นคนโทษ แต่ข้อที่ว่าจูฮงโกรธไปทูลกล่าวโทษนั้นเป็นความเข้าใจผิดของโลติด เพราะตัวการใหญ่เป็นสิบขันที จูฮงเป็นแต่เพียงตัวโหมโรงเท่านั้น

วิธีการเรียกสินบนจากขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ สรุปได้เป็น 3 วิธี คือการส่งผู้แทนไปตรวจการหรือสืบข่าวราชการอย่างหนึ่ง การออกไปตรวจเยี่ยมเองอย่างหนึ่ง และการส่งเจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินออกไปตรวจอีกอย่างหนึ่ง

เป็นที่รู้กันทั่วไปอย่างดียิ่งในบรรดาข้าราชการในหัวเมืองว่า เมื่อใดที่มีเหตุการณ์ตรวจการ ตรวจเยี่ยมหรือตรวจเงินแผ่นดินเกิดขึ้น ณ ที่ใดแล้ว ย่อมหมายความว่าจะต้องจัดเงินส่วยสินบน หากจัดให้แต่น้อยทุกอย่างก็เสมอตัว หากจัดให้มากผลการตรวจก็จะถูกรายงานไปเป็นความดีความชอบ และเสนอปูนบำเหน็จหรือเลื่อนชั้น หากไม่จัดให้ตามธรรมเนียมก็จะถูกถอดออกจากตำแหน่ง ถูกย้ายหรือต้องโทษ ดีร้ายก็อาจมีโทษถึงประหาร

บางครั้งไม่เพียงเรียกเอาส่วยสินบนเท่านั้น ยังเรียกเอาสินล่างด้วย ซึ่งก่อคือ ความทุกข์ร้อนอย่างหนักแก่ข้าราชการในหัวเมือง เพราะต้องยอมเสียลูกสาวหรือเมียน้อย หรือสาวใช้คนโปรดยกให้เป็นสินล่างแก่ผู้มีอำนาจอีกด้วย

เตียวหุยได้ยินคำโลติดแล้วก็โกรธเลือดขึ้นหน้า  ชักดาบจะฆ่าผู้คุมเพื่อถอด     โลติดออกจากกรง เล่าปี่ได้ห้ามไว้เพราะเป็นข้อรับสั่ง เมื่อเป็นเช่นนี้กวนอูจึงได้เสนอต่อพี่น้องทั้งสองว่าเมื่อโลติดเป็นคนโทษไปเสียแล้วจะไปเมืองจงก๋งตามเดิมพึ่งตั๋งโต๊ะก็ป่วยการ ควรเดินทางหลับเมืองตุ้นก้วนจะดีกว่า

เล่าปี่เห็นด้วยกับข้อเสนอของกวนอู สามพี่น้องแห่งสวนท้อจึงนำทหารเปลี่ยนเส้นทางโฉมหน้าไปเมืองตุ้นก้วน

เดินทางได้สองวัน ได้ยินเสียงม้าล่อฆ้องกลองและเสียงโห่ร้องดังสนั่นมาแต่ไกล เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยจึงขึ้นม้าพากันไปบนเนินเขา  เห็นธงสำคัญประจำตัวแม่ทัพแล้วก็รู้ว่าตั๋งโต๊ะทหารเมืองหลวงเป็นนายทัพกำลังถูกทัพเตียวก๊กตีแตกพ่ายมา จึงนำทหารลงไปช่วยรบ

ทัพของเตียวก๊กคิดว่าต้องกล เพราะไม่รู้กำลังศึกมากน้อยจึงแตกหนีไป  ตั๋งโต๊ะกลับเข้าค่ายแล้วให้หาเล่าปี่กวนอูเตียวหุยมาสอบถามว่าเป็นทหารในสังกัดของใครและมีตำแหน่งแหล่งที่อย่างไร

ล่าปี่จึงบอกว่าไม่ได้เป็นขุนนางไม่มีตำแหน่งแหล่งที่ประการใด ตั๋งโต๊ะฟังแล้วก็แสดงกริยาดูหมิ่นเอากับสามพี่น้อง ไม่ได้แสดงความขอบใจหรือยินดีที่เล่าปี่ได้ช่วยเหลือตีข้าศึกจนแตกพ่ายไป เล่าปี่เห็นท่าทีตั๋งโต๊ะดังนั้นจึงคำนับลาออกมา แต่เตียวหุยเป็นคนเจ้าโทสะ เห็นกริยาท่าทีของตั๋งโต๊ะเช่นนี้ก็โกรธจะเข้าไปฆ่าตั๋งโต๊ะเสีย เล่าปี่เข้าห้ามไว้ แล้วพร้อมใจกันยกทหารกลับไปหาจูฮี ณ เมืองเองฉวนอีกครั้ง

ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12    

ขอโทษ


เออ พอดีช่วงนี้โรงเรียนเปิดเทอม เลยไม่ค่อยได้อัพเดตต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าว่างผมจะพยายามอัพเดตครับ

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 11.ผลักไสไร้ค่า

เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยคุมทหารห้าร้อยนายตรงไปเมืองจงก๋ง แล้วชวนกันเข้าพบแม่ทัพโลติดซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายเมืองหลวง รายงานการศึกที่ผ่านมาให้แม่ทัพโลติดรับทราบ แม่ทัพโลติดได้พบหน้าเล่าปี่เพื่อนร่วมสำนัก และรับทราบความศึกแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก จึงชวนให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยว่ามา “อยู่ทำราชการด้วยเราเถิด”


เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยรับคำเชิญของแม่ทัพโลติดแล้วเริ่มชีวิตข้าราชการทหารตั้งแต่บัดนั้น แต่ทั้งนี้ความเป็นข้าราชการดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นทหารหลวงเพราะฮ่องเต้ไม่ได้รับรู้ด้วย ดังนั้นจึงมีฐานะเป็นเพียงทหารในสังกัดของแม่ทัพโลติดเท่านั้น

แม่ทัพโลติดเห็นว่ากำลังพลที่มีอยู่สามารถยันทัพของเตียวก๊กได้ แต่ให้รู้สึกห่วงใยกองทัพของฮองฮูสงและจูฮี ซึ่งเป็นน้ำใจที่ดีงามของคนระดับแม่ทัพผู้นี้ที่ไม่คิดแต่จะเอาตัวรอด หรือคิดสร้างผลงานเฉพาะตน แม้หน้าศึกที่เผชิญอยู่กับความเป็นตายยังสู้มีใจห่วงหาอาทรผู้ใต้บังคับบัญชาและการใหญ่ของบ้านเมือง จึงจัดทหารพันหนึ่งให้เล่าปี่รีบยกไปช่วยฮองฮูสงและจูฮีที่ยันทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงอยู่ที่เมืองเองฉวนโดยให้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน

ฝ่ายทัพเตียวโป้และเตียวเหลียงซึ่งตั้งยันอยู่กับทัพของฮองฮูสงและจูฮีนั้น ปะทะกันหลายครั้งยังไม่แพ้ชนะกัน ดังนั้นเตียวโป้และเตียวเหลียงจึงวางแผนเผด็จศึกด้วยวิธีการผูกพยนต์ ใช้วิทยาคมที่เตียวก๊กได้ร่ำเรียนมาจากตำราของเทพยดา เตรียมปลุกเสกหุ่นฟางให้เป็นทหารเพื่อรบกับฮองฮูสงและจูฮี

แต่ในขณะที่เตียวโป้ เตียวเหลียงเตรียมฟางไว้เป็นจำนวนมากเพื่อผูกเป็นหุ่นนั้น ข่าวทราบถึงฮองฮูสงและจูฮี ที่ถึงแม้จะไม่รู้ความนัยว่ากองทัพโจรโพกผ้าเหลืองเตรียมฟางไว้จำนวนมากเพื่อการใด แต่เห็นช่องทางที่จะทำลายกองทัพโจรเสียด้วย "เพลิง"

ในคืนนั้นเพลาสองยามเกิดลมพายุใหญ่พัดหนัก ฮองฮูสงและจูฮีจึงให้ทหารเข้าปล้นค่ายเตียวโป้ เตียวเหลียงพร้อมกัน ใช้เพลิงเผาค่ายโจรโพกผ้าเหลืองจนแสงเพลิงโชติช่วงสว่างดุจกลางวัน ทหารเตียวโป้ เตียวเหลียงไม่ทันรู้ตัวว่าถูกโจมตีก็ตกใจไม่ทันใส่เกราะผูกอานม้าก็แตกกระจายหนีเพลิงกันวุ่นวาย ทหารของฮองฮูสงและจูฮีจึงได้ไล่ฟันแทงพวกโจรล้มตายเป็นอันมาก

เตียวโป้ เตียวเหลียงนำทหารที่แตกทัพรุดหนีไปทั้งคืน จนรุ่งเช้าก็ปะทะเข้ากับกองทหารซึ่งใช้ธงแดงเป็นสัญลักษณ์ทั้งกองทัพ นั่นคือกองทัพของโจโฉซึ่งเป็นกองทัพเสริมมาจากเมืองหลวง และเคลื่อนมาทางเมืองเองฉวนเพื่อสมทบกับทัพของฮองฮูสงและจูฮี

โจโฉเห็นโจรโพกผ้าเหลืองแตกทัพมาก็สั่งทหารให้เข้าตีสกัดไว้ สังหารทหารเตียวโป้ เตียวเหลียงเสียหมื่นเศษได้ม้าและศาตราวุธเป็นจำนวนมาก แต่เตียวโป้  เตียวเหลียงนั้นนำทหารที่เหลือหนีไปได้

โจโฉนำชัยชนะจากการตีทัพเตียวโป้เตียวเหลียงซึ่งแตกทัพไปจากเมืองเองฉวนเข้ารายงานให้ฮองฮูสงและจูฮีทราบ แล้วขอนำทหารยกตามไปตีเตียวโป้  เตียวเหลียงต่อไป

ฝ่ายเล่าปี่ซึ่งรับคำสั่งแม่ทัพโลติดให้ยกทหารมาเมืองเองฉวน  ช่วยฮองฮูสงและจูฮีนั้น เมื่อเคลื่อนทัพมาใกล้ถึงเมืองเองฉวนเห็นแสงเพลิงที่ฮองฮูสงและจูฮีเผาค่ายของเตียวโป้ เตียวเหลียงจึงเร่งทหารรีบไปช่วย พอดีทัพเตียวโป้ เตียวเหลียงแตกพ่ายไปแล้ว เล่าปี่จึงเข้าไปรายงานต่อฮองฮูสงและจูฮีว่าแม่ทัพโลติดให้ยกทหารมาช่วย

ฮองฮูสงและจูฮีทราบความก็ขอบใจโลติดและเล่าปี่ แล้วว่าเตียวโป้ เตียวเหลียงแตกไปครั้งนี้การศึกเห็นจะเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว เพราะคาดหมายว่าเมื่อแตกหนีไปแล้วเตียวโป้ เตียวเหลียงจะยกทหารไปสมทบกับเตียวก๊กที่เมืองจงก๋ง จึงให้เล่าปี่ยกทหารรีบตามไปสกัดไม่ให้เตียวโป้ เตียวเหลียงไปบรรจบทัพกับเตียวก๊กได้สำเร็จ ฝ่ายเมืองหลวงก็จะได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด

การใช้ให้เล่าปี่ไปสกัดเตียวโป้ เตียวเหลียงในครั้งนี้ด้านหนึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นยุทธวิธีที่สำคัญไม่ให้ฝ่ายกู้ชาติบรรจบทัพกันได้ ให้คงสภาพเป็นสองส่วนแล้วค่อยตีให้แตกทีละส่วนตามหลักยุทธวิธี “กินข้าวทีละคำ ตีให้แตกทีละส่วน”เพื่อหวังผลเผด็จศึกก็จริงอยู่ แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็มองเห็นได้ถึงความอาภัพวาสนาของเล่าปี่ เพราะพึ่งเดินทัพมาจากเมืองจงก๋งอยู่หยกๆ ก็ต้องรับคำสั่งให้เดินทัพกลับในทิศทางเดิมเพื่อสกัดเตียวโป้ เตียวเหลียงอีก

การที่เจ้าเมืองและแม่ทัพต่างๆใช้ให้เล่าปี่ไปรบศึกไม่หยุดหย่อน ให้ไปช่วยคนโน้นให้ไปช่วยคนนี้ดูไปแล้วคล้ายๆจะเป็นการผลักไสอยู่ในที

เหตุทั้งนี้ย่อมมีประวัติศาสตร์ของมันอยู่ เพราะเล่าปี่นั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าฮั่นโกโจในสายของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ หลานของพระเจ้าฮั่นเกงเต้ผู้หนึ่งได้รับพระราชทานศักดิ์เป็น “อ๋อง” เทียบชั้นเจ้าพระยาครองเมืองต๊กกุ๋น แต่ขาดส่งส่วยประจำปีให้แก่ราชสำนัก จึงถูกถอดออกจากศักดิ์และตำแหน่งลงเป็นคนสามัญ

ตราบาปนี้จึงตกทอดมาถึงปู่ พ่อและถึงตัวเล่าปี่ด้วย ทำให้ขุนนางและข้าราชการไม่กล้าข้องแวะคบหาสมาคมเพราะกลัวว่าจะเป็นที่หวาดระแวงของราชสำนัก ดังนั้นเจ้าเมืองและแม่ทัพต่าง ๆ จึงหาเหตุผลักไสไล่ส่งเล่าปี่โดยทำทีใช้ให้ไปราชการไม่หยุดหย่อน

ขอขอบคุณ 

บางช่วงบางตอนจาก สามก๊กฉบับคนขายชาติ
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12