วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 15.ศึกแตกหักอ้วนเซีย และ ไร้ความดีความชอบ

จูฮี เล่าปี่จึงล้อมเมืองไว้อีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ล้อมเมืองอยู่นี้ซุนเกี๋ยนได้ยกทหาร 1,500 มาถึง จึงสมทบเข้ากับทัพหลวงของจูฮี จูฮีมีความยินดียิ่งนักจึงจัดทหารสามกอง กองหนึ่งให้เล่าปี่ตีด้านเหนือ กองหนึ่งให้ซุนเกี๋ยนตีด้านใต้ แล้วจูฮีพาอีกกองไปตีด้านตะวันตก เว้นไว้แต่ด้านตะวันออก


ในขณะเข้าตีเมืองนั้น ซุนเกี๋ยนอาศัยความกล้าหาญปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองอ้วนเซียได้ เตียวฮ่องเห็นเหตุการณ์จึงขึ้นม้าถือง้าวจะเข้ารบด้วยซุนเกี๋ยน แต่พอเตียวฮ่องเข้ามาใกล้เชิงเทิน ซุนเกี๋ยนก็โจนลงจากกำแพงเข้าชิงง้าวจากเตียวฮ่อง แล้วฟันเตียวฮ่องตกม้าตาย

ส่วนซุนต๋องเห็นเมืองแตกก็คิดจะหนี แต่ถูกเล่าปี่ยิงด้วยเกาทัณฑ์ตกม้าตาย 

กองทัพของจูฮียกเข้าเมืองได้แล้วฆ่าทหารซุนต๋ง เตียวฮ่องตายหมื่นเศษ และยึดสินศึกได้เป็นจำนวนมาก

จูฮี เล่าปี่ ซุนเกี๋ยน เสร็จศึกเมืองอ้วนเซียแล้ว จึงยกทหารไปยึดหัวเมืองต่างๆที่ถูกฝ่ายกู้ชาติยึดไว้กลับคืนถึงสิบสี่สิบห้าหัวเมือง จัดการปกครองเข้าที่เข้าทางแล้วจึงยกทัพกลับเมืองหลวง กราบทูลรายงานความทั้งปวงแก่พระเจ้าเลนเต้ พระเจ้าเลนเต้ทรงทราบความแล้ว จึงโปรดให้จูฮีเป็นแม่ทัพประจำกองบัญชาการทหารกลางเช่นเดียวกับฮองฮูสง มีตำแหน่งเฝ้าและให้เป็นเจ้าเมืองโห้หลำ ส่วนซุนเกี๋ยนโปรดให้ไปเป็นกรมการหัวเมือง มีอำนาจบัญชาทหารห้ากองพัน

สำหรับเล่าปี่มิได้ตรัสประการใด เล่าปี่คอยท่าบำเหน็จอยู่ในเมืองหลวงเดือนเศษ ไม่ได้ข่าวคราวประการใดก็เสียน้ำใจนัก


เล่าปี่หลังจากถูกปิดบังความชอบจากการกรำศึกที่ยากเข็ญแสนสาหัสแล้ว ได้แต่เฝ้ารอความหวัง แต่ไร้ข่าวคราว วันหนึ่งเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยไปเดินเล่นชมเมืองพบเตียวกิ๋น ซึ่งเป็นมหาดเล็กในพระเจ้าเลนเต้ และทราบข่าวว่าไม่ค่อยกินเส้นกับพวกสิบขันที เล่าปี่จึงเข้าไปหา กระทำคำนับ แนะนำตัวเองแล้วร้องทุกข์ว่าได้ทำความชอบในการทำศึกปราบโจรโพกผ้าเหลืองเป็นอันมากแต่ไม่ได้รับปูนบำเหน็จความชอบใด ๆ แล้วเล่าความทั้งปวงให้เตียวกิ๋นฟัง

เตียวกิ๋นคงเห็นเป็นทีจะได้เล่นงานสิบขันที จึงพาเล่าปี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเลนเต้กราบทูลว่า “เกิดโจรโพกผ้าเหลืองขึ้นครั้งนี้ เพราะเหตุด้วยพระองค์เชื่อฟังขันทีสิบคน ขันทีสิบคนนั้นตัดสินเนื้อความอาณาประชาราษฎร กลับจริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยซึ่งเป็นยุติธรรมนั้นให้ถอดเสีย เอาสินบน ผู้หาสัตย์ไม่เอามาตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย บ้านเมืองก็เกิดจลาจล อาณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อนมาคุมเท่าบัดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้เอาขันทีสิบคนไปตัดศีรษะ ประกาศแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงให้ทั่วทุกหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองหลวง ใครมีสติปัญญาเป็นยุติธรรมมีความชอบก็ให้ตั้งเป็นขุนนาง โดยยศถาศักดิ์ตามสมควร บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป

คำกราบทูลนี้ฟังแล้วเห็นได้ว่า เตียวกิ๋นเป็นขุนนางที่ซื่อตรงต่อแผ่นดินคนหนึ่ง แต่เพราะความไม่พอใจสิบขันทีล้นอยู่ในอก เตียวกิ๋นที่สู้นำเล่าปี่เข้าเฝ้ากลับไม่กราบทูลเสนอความชอบของเล่าปี่แม้แต่คำเดียว เอาแต่ขอให้ประหารสิบขันทีเสีย แต่อาจเป็นโชคดีของเล่าปี่ เพราะหากเสนอความชอบไปแล้วเล่าปี่ก็อาจต้องรับชะตากรรมที่ไม่คาดคิดได้

สิบขันทีฟังคำกราบทูลอยู่ก็ตกใจ เพราะความที่เตียวกิ๋นกราบทูลนั้นเป็นเรื่องใหญ่มีโทษถึงตาย จึงแสร้งถอดหมวกยศ ทำทีเสียใจจะลาออกจากราชการ แล้วร้องไห้ขอความสงสารว่า ถูกใส่ร้ายเกิดจากความอิจฉาของเตียวกิ๋น และเป็นความอิจฉาที่มีต่อฮ่องเต้ เพราะสิบขันทีได้ปรนนิบัติรับใช้เป็นอันดีด้วยความสัตย์สุจริตและเสียสละอันสูงสุด ไม่เคยคิดเห็นแก่ครอบครัวหรือญาติพี่น้อง กราบทูลแล้วสิบขันทีได้ตำหนิเตียวกิ๋นต่อหน้าพระพักตร์ว่าเตียวกิ๋นเป็นเพียงขุนนางผู้น้อย ไฉนบังอาจมาสั่งสอนฮ่องเต้ ทำให้เสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ ไม่ยำเกรงพระราชอาญาในองค์พระจักรพรรดิ

พระเจ้าเลนเต้ได้ยินคำขันทีก็มีน้ำพระทัยคล้อยตาม จึงตำหนิเตียวกิ๋นว่า ตัวเป็นขุนนาง มีคนรับใช้ใกล้ชิดมากมายอยู่แล้ว พระองค์เป็นถึงพระมหากษัตริย์มีขันทีคอยรับใช้บ้างทำไมต้องมาอิจฉาริษยากัน แล้วตรัสสั่งให้ทหารไล่เตียวกิ๋นและ เล่าปี่ออกไป

นี่คือปรากฏการณ์ปูนบำเหน็จในแผ่นดินของเลนเต้ โดยที่เล่าปี่หารู้ไม่ว่า ความดีความชอบในแผ่นดินนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลงาน แต่ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสินบนเท่านั้น

ขอขอบคุณ 

สามก๊กฉบับคนขายชาติ
http://www.paisalvision.com/2008-10-30-11-41-42/59--8-.html
ภาพจากเกมส์ Romance of the kingdom 12 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น